วันศุกร์, 26 เมษายน 2567

5 วิธีแก้ไขปัญหาผ่อนค่างวดบ้านไม่ไหว ทำอย่างไรไม่ให้ถูกฟ้อง และไม่ให้โดนยึด

20 ก.ย. 2017
2396

 

 

 

เราต่างก็รู้กันดีว่า หนี้ในประเทศไทยหากคิดเป็นจำนวนเงินจะมากมายมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นหนี้บัตรเครดิต หนี้ไฟแนนซ์ และหนี้ในเรื่องของการส่งบ้านด้วย อันที่จริงสิ่งที่เราควรจะพูดถึงเพื่อป้องกันการเป็นหนี้ที่บานปลายก็คือ เรื่องของการประมานตนเองก่อน ว่าจะสามารถแบกรับค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้มากน้อยแค่ไหน หากเราคำนวนแล้วว่าจะมีความสามารถในการชำระหนี้จำกัด หรือไม่พอ ก็ควรจะรอเวลา หรือหาวิธีที่เหมาะสม และเราก็ควรจะมีเงินก้อนฉุกเฉินไว้ใช้ด้วยเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

สำหรับปัญหาเรื่องหนี้สินที่เกี่ยวกับบ้าน ต้องบอกเลยว่าเป็นปัญหาที่หนักที่สุดแล้ว เพราะบ้านหลังหนึ่งถ้าจะให้พอดีกับการพักอาศัยสำหรับครอบครัว 3-5 คนก็มีราคาแพง ตั้งแต่ 1.5 ล้านไปจนถึง 10 ล้านบาทขึ้นไป เพราะฉะนั้นระยะเวลาในการผ่อนชำระก็จะต้องยาวนานไปด้วย รวมถึงค่างวดที่ต้องส่งในแต่ละเดือน จึงต้องมีการวางแผนที่ดี และมีวินัยทางการเงินอย่างมาก จึงจะไม่เกิดปัญหา และนี่คือวิธีแก้ปัญหาเบื้องต้นสำหรับผู้ที่ผ่อนบ้านไม่ไหว และผู้ที่ไปเซ็นค้ำประกันบ้านให้กับผู้อื่น มาดูกันว่าหากเกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นจะต้องทำอย่างไรบ้าง

 

วิธีแก้ไขในการผ่อนชำระค่างวดบ้าน ทำอย่างไรไม่ให้ถูกฟ้อง และไม่ให้โดนยึด

  1. ขยายเวลาการผ่อน

ถ้าคุณเป็นผู้กู้ขอซื้อบ้านที่ยังอายุไม่มากนัก คือไม่เกิน 40 ปี แล้วมีเหตุให้คุณผ่อนชำระค่าบ้านไม่ไหว ให้ลองติดต่อกับเจ้าหนี้ของคุณ โดยทำเรื่องขอขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระค่าบ้านเพิ่มตามที่คุณต้องการ เพื่อลดค่างวดที่คุณจะต้องเสียให้น้อยลง (คล้าย ๆ กับการรีไฟแนนซ์ของรถยนต์) แต่รวมเวลาที่ขอขยายบวกกับอายุของคุณต้องไม่เกิน 70 ปีขึ้นไป วิธีนี้เป็นวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กันเป็นอย่างมาก แต่มีข้อแม้คือ หากมีดอกเบี้ยค้างชำระอยู่ ก็ต้องชำระให้หมดเสียก่อน

 

  1. ขอผ่อนผันการชำระ

เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมรองลงมา เมื่อไม่สามารถหาเงินมาชำระค่างวดบ้านได้ตามที่กำหนด แต่ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่า การผ่อนชำระนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะด้วยกัน คือขอเฉลี่ยหนี้ทั้งหมดเป็นจำนวนเงินเท่า ๆ กัน แล้วขอผ่อนชำระไปเรื่อย ๆ ทุกเดือน , ชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดในเวลาที่ตกลง คือไม่ต้องชำระเป็นงวด แต่อาจจะต้องให้หมดภายใน 5 ปี 10 ปีก็แล้วแต่ตกลงกัน และวิธีสุดท้ายคือการขอชำระหนี้เป็นก้อนในเวลาที่ตกลง แต่ส่วนมากวิธีเหล่านี้จะใช้เมื่อเหลือระยะเวลาในการชำระหนี้อีกไม่มากแล้ว

 

  1. ขอชำระแต่ดอกเบี้ยประจำเดือน

บางครั้งคนเราก็อาจขาดสภาพคล่อง หรืออาจเจอภาวะทางการเงินแบบฉุกเฉินได้ แต่ถ้าหากจะขอใช้วิธีนี้ ลูกหนี้ต้องมั่นใจในตัวเองก่อนว่าที่ผ่านมาทำตัวเป็นลูกหนี้ที่ดีมาตลอดหรือไม่ มีการผ่อนชำระตรงต่อเวลาหรือเปล่า ถึงจะมีโอกาสได้รับการอนุมัติเงื่อนไขนี้ ซึ่งมีสิทธิ์ได้รับการอนุมติเพียงครั้งเดียวตลอดระยะเวลาการชำระหนี้ และสามารถผ่อนชำระแต่ดอกเบี้ยได้นานสุดไม่เกิน 12 เดือน เพราะฉะนั้นคิดให้ดีก่อนที่จะขอเงื่อนไขนี้ เพราะคุณมีสิทธิ์แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

 

  1. กู้ที่อื่นมาโปะ หากเหลือระยะเวลาไม่นานมาก

ระยะเวลาไม่นานในที่นี้อาจจะแค่ 6 – 12 เดือน ซึ่งคุณสามารถหลีกเลี่ยงภาระตรงนี้ได้ ด้วยการยืมเงินจากที่อื่นมาจ่ายก่อน ซึ่งอาจจะเสียดอกเบี้ยน้อยกว่า แต่ไม่แนะนำให้กู้นอกระบบเด็ดขาด เพราะจะทำให้ทุกอย่างยากขึ้นไปอีก ลองสอบถามที่ทำงานหรือสหกรณ์ต่าง ๆ ดูว่ามีเงินช่วยเหลือในส่วนนี้หรือไม่ ถ้าหากมีก็ไม่ต้องลังเลใจเลย

 

  1. ขอให้เจ้าหนี้ชะลอการฟ้องไปก่อน

ถ้าหากว่าติดหนี้ค้างชำระนาน ๆ เป็นอันมั่นใจได้เลยว่าคุณต้องเตรียมตัวไปขึ้นศาลอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากถูกฟ้อง ลูกหนี้ก็จะต้องทำอย่างไรก็ได้เพื่อหาเงินมาชำระค่างวดติดกันอย่างน้อย 6 เดือน จากนั้นลองเลือกใช้เงื่อนไขต่าง ๆ เช่น ขอชำระแต่ค่าดอกเบี้ย หรือขอผ่อนผันไปก่อน เมื่อครบกำหนดตามเงื่อนไขแล้ว ค่อยกลับมาคุยกันเรื่องการผ่อนชำระใหม่อีกครั้งหนึ่ง

 

 

ในส่วนของการเป็นผู้ค้ำประกัน แต่ลูกหนี้ตัวจริงหนีไปหรือจ่ายไม่ไหว

ถ้าตกอยู่ในสถานการณ์นี้ ก็ให้ทำใจไว้ได้เลย เพราะคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงการขึ้นศาลได้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นในช่วงนี้คือควรติดตามตัวเจ้าของบ้านหรือบุคคลที่คุณค้ำประกันไว้ให้ได้เร็วที่สุด โดยคุณต้องท่องจำไว้ในใจว่า การคร่ำครวญหรือการด่าทอไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะคุณเต็มใจที่จะลงชื่อค้ำประกันเอง ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดให้คือ การใช้สิทธิ์ทางกฎหมายให้สถาบันทางการเงินเรียกลูกหนี้ตัวจริงมาเจรจา ว่าสามารถชำระหนี้บ้านที่ค้างอยู่ได้หรือไม่ สิทธิ์นี้มีชื่อว่า “สิทธิเกี่ยงการชำระหนี้ของผู้ค้ำประกันตามที่กฎหมายบัญญัติสิทธิ” และคุณจะต้องทำการพิสูจน์ให้ทั้งศาลและเจ้าหนี้เห็นว่า ลูกหนี้ตัวจริงสามารถชำระหนี้ต่อได้จริง ๆ คุณถึงจะรอดพ้นจากเรื่องนี้ได้ แต่ถ้าหากไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้ ก็ต้องยอมไกล่เกลี่ยประนีประนอมสถานเดียว ซึ่งคุณก็จะต้องเป็นผู้ชำระหนี้แทน

ปัญหาการส่งบ้านอาจเกิดขึ้นได้หากไม่บริหารจัดการให้ดี หรือแม้แต่การเป็นผู้ค้ำประกันให้กับผู้อื่น เอาเป็นว่าก่อนจะตัดสินใจผ่อนบ้านหรือค้ำประกันให้กับใคร ก็ควรคิดให้ดีก่อนเสมอ