โรคโลหิตจาง จำอย่างยิ่งที่จะต้องกินอาหารที่มีธาตุเหล็ก เพื่อบำรุงเลือด อาหารที่มีธาตุเหล็กเยอะๆก็จะเป็นพวก ตับ เครื่องใน ผักใบเขียว
ส่วนวิตามินสำหรับบำรุงเลือดก็คือ โฟลิค นอกจากนี้ยังมีผักผลไม้อีก 7 ชนิดที่แนะนำ เพราะจะทำให้อาการดีขึ้นได้พร้อมทั้งมีสุขภาพแข็งแรงไปพร้อม ๆ กันด้วยเลย
1.อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง
ประเภทผักที่มีธาตุเหล็กสูงได้แก่ ผักกูด ถั่วฟักยาว ผักแว่น เห็ดฟาง พริกหวาน ใบแมงลัก ใบกะเพรา มะกอก ยอดกระถิน ดอกโสน ต้นหอม มะเขือพวง ใบขี้เหล็ก มะเขือเทศ ผักกาดหอม ฟักทอง มันเทศ เผือก และผักใบเขียวชนิดอื่นๆ
ธาตุเหล็กพบมากในเนื้อสัตว์ด้วยเช่นกัน ได้แก่ หมู ไก่ กุ้ง หอย ปลา ไข่ และตับ เป็นต้น ส่วนธัญพืชที่มีธาตุเหล็กมากได้แก่ ถั่ว ลูกเดือย งา พุทธาจีน
2.กุยช่าย
กุยช่าย เป็นสมุนไพรประเภทพืชผักสวนครัว ที่มีลำต้นสีเขียว มีกลิ่นฉุนคล้ายกับต้นหอม มักนิยมนำมารับประทานทั้งต้น เพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร และสรรพคุณทางยามากมาย หลายประการ
กุยช่ายมีธาตุเหล็กสูง ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงและลดโรคโลหิตจาง ใช้เป็นยาห้ามเลือด ช่วยให้ระบบการไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น ช่วยกระตุ้นประสาท ช่วยให้ลำไส้บีบตัว ทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
นอกจากนั้น ยังช่วยบรรเทาอาการท้องผูก รักษาโรคกระเพาะอักเสบ รักษาโรคบิด โรคริดสีดวงทวาร บรรเทาอาการปวดท้องในช่วงก่อนและหลังมีประจำเดือน รักษาอาการมุตกิตหรือระดูขาวในสตรี
อีกทั้งยังสามารถนำมาทำเป็นยาใช้ทาภายนอก แก้อาการฟกช้ำ เคล็ดขัดยอก ปวดบวม และแมลงสัตว์กัดต่อยได้อีกด้วย
แนะนำ : เกร็ดความรู้สั้น ๆ พร้อมข้อคิด เกี่ยวกับข้าวโอ๊ต สำหรับมื้อเช้า Ep.31
แนะนำ : เกร็ดความรู้สั้น ๆ พร้อมข้อคิด เกี่ยวกับรูปร่างของคุณเสี่ยงต่อโรคอะไรบ้าง Ep.32
แนะนำ : เกร็ดความรู้สั้น ๆ พร้อมข้อคิด เกี่ยวกับวิธีแก้โรคเบื่ออาหารในครอบครัว Ep.33
3.องุ่น
เป็นผลไม้ลูกกลม ๆ รวมอยู่เป็นพวง มีทั้งสีเขียวและสีม่วง รสหวานอมเปรี้ยว รับประทานได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งผลสด ผลแห้ง เช่น ลูกเกด หรือจิบเป็นไวน์ก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
“เนื้อองุ่น” มีน้ำตาลให้พลังงานแก่ร่างกาย รับประทานแล้วช่วยให้ย่อยง่าย ผู้ต้องการลดน้ำหนักโดยใช้วิธีการอดอาหารเพื่อล้างพิษ ให้รับประทานองุ่นเพียงอย่างเดียวทุก 10 วัน จะช่วยบำบัดโรคผิวหนัง โรคทางเดินปัสสาวะ โรคไขข้ออักเสบ โรคเกาต์ ได้อย่างดี
เนื่องจาก “องุ่น” เป็นผลไม้ที่ช่วยชะล้าง ทำความสะอาดอวัยวะภายใน สำหรับ “เมล็ดองุ่น” ก็ยังนำมาตำพอกรักษาแผลสดและห้ามเลือดได้
“องุ่น” เป็นผลไม้ให้พลังงาน เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เพิ่งฟื้นไข้ ผู้ป่วยโรคโลหิตจาง ร่างกายอ่อนเพลีย แต่ก่อนทานทุกครั้งควรจะล้าง “องุ่น” ให้สะอาดหลาย ๆ ครั้ง เพราะองุ่นจะมียาฆ่าแมลงสะสมอยู่ค่อนข้างมาก
4.บร็อคโคลี่
“บร็อกโคลี” เป็นผักตระกูลกะหล่ำ อีกชนิดหนึ่งคล้ายกับดอกกะหล่ำของไทยเรา แต่มีสีเขียว และรสหวานกรอบกว่า อุดมไปด้วยวิตามินบี 2 วิตามินซีและโฟลิก ที่ช่วยในการบำรุงประสาทลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง
บร็อกโคลี่ยังช่วยป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ ช่วยลดคอลเลสเตอรอล และลดความดันโลหิต เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ทั้งยังเป็นอาหารต้านมะเร็งอีกด้วย
การรับประทานผักใน “ตระกูลกะหล่ำ” มาก ๆ ช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งในลำไส้ได้ โดยเฉพาะ “บร็อคโคลี” ซึ่งมีวิตามินเอสูง และอุดมด้วยเหล็ก ซึ่งเหมาะกับผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง ร่างกายอ่อนเพลีย
รวมทั้งยังใช้รักษาอาการปวดข้อ ปวดเข่า โรคเก๊าท์ โรคเกี่ยวกับระบบประสาท รักษาโรคอัลไซเมอร์ และยังช่วยป้องกันโรคหัวใจได้อีกด้วย
5.กะหล่ำปลี
กะหล่ำปลีเป็นอาหารต้านมะเร็งอีกชนิดหนึ่ง ที่กำลังได้รับความนิยม เพราะนอกจากเป็นผักใบเขียวเกือบขาวที่รสหวานกรอบ สามารถรับประทานได้ทั้งสดและปรุงสุกแล้ว
การรับประทาน “น้ำกะหล่ำปลี” คั้นสด ๆ เป็นประจำ ยังช่วยในการรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย กะหล่ำปลีอุดมไปด้วยธาตุเหล็กช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง ลดความเครียดและต้านทานโรคหัวใจ
ทั้งนี้ จากผลการวิจัยพบว่า การกินกะหล่ำปลีมากกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์ จะลดโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ในผู้ชายได้ถึงร้อยละ 66 ผู้ป่วยโรคไทรอยด์ ไม่ควรกินกะหล่ำปลีสดมาก เพราะจะมีสาร Goitrigen ซึ่งถ้ามีมากเกินไป จะขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์
อีกทั้งสารกลูโคไซโนเลตไพรกอนทรินใน กะหล่ำปลีดิบ ยังเข้าไปยับยั้งการทำงานของสารไอโอดีนดังนั้นผู้ที่ชอบรับประทานกะหล่ำปลีดิบสด และรับประทานต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ๆ อาจจะทำให้เป็นโรคคอพอกได้
ไม่เพียงแค่ที่กล่าวมาแล้วนี้เท่านั้น แต่ “กะหล่ำปลี” แทบทุกชนิด เช่น กะหล่ำปลีปม กะหล่ำปลีดาวกะหล่ำปลีรูปหัวใจ หรือแม้แต่ กะหล่ำปลีม่วง เองก็ตาม ต่างก็มีคุณสมบัติในการป้องกันและยับยั้งการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายได้ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร เต้านม มดลูก รังไข่ และยังมีฤทธิ์ในการขับสารพิษออกจากร่างกายได้อีกด้วย และถ้ารับประทานกะหล่ำปลี (ปรุงสุก) เป็นประจำ ยิ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับในการขับสารพิษได้ดียิ่งขึ้น
6.ปวยเล้ง
เป็นผักก้านเรียวยาว มีใบใหญ่อุดมไปด้วยวิตามินบี 2 วิตามินซี กรดโฟลิก เบต้าแคโรทีน ที่ช่วยยับยั้งโรคมะเร็ง รวมทั้งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ทั้งยังอุดมด้วยธาตุเหล็กและคลอโรฟีลล์
เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคโลหิตจาง ผู้ที่มีร่างกายอ่อนเพลีย และมีอาการเครียด นอกจากนี้ “ปวยเล้ง” ยังมีสารเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา ถนอมผิวพรรณ และต้านทานมะเร็งได้อีกด้วย
7.อะโวคาโด
เป็นผลไม้ที่มีสารอาหาร ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุดชนิดหนึ่ง “อะโวคาโด” มีแคลอรีสูง และอุดมไปด้วยไขมมัน (แต่ก็เป็นไขมันที่ย่อยง่าย) ซึ่งมีประโยชน์ในการต่อต้านแบคทีเรีย เหมาะสำหรับผู้ป่วยเพิ่งฟื้นไข้
อะโวคาโด ช่วยบำรุงผิวพรรณและต้านอนุมูลอิสระ และยังมีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ สูงด้วยเช่นกัน อาทิ เป็นแหล่งรวมของวิตามินบี 6 ธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม
ฟอสฟอรัส เปรียบเสมือนผู้ช่วยของ แคลเซียม ที่ทำหน้าที่เสริมสร้างกระดูและฟันให้แข็งแรง ช่วยในการถ่ายทอดรหัสทางพันธุกรรม มีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ช่วยในการบำรุงเลือด
อะโวคาโด เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคโลหิตจาง รวมทั้งช่วยบำรุงร่างกายไม่ให้รู้สึกเหนื่อยง่าย ส่วนวิตามินเอ ช่วยในการบำรุงสายตา และฟื้นฟูสภาพผิวหนังให้ชุ่มชื่น และ โพแทสเซียมช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน และลดความดันโลหิตสูงได้อีกด้วย
หากร่างกายขาดโพแทสเซียม จะทำให้อ่อนเพลีย มีอาการหดหู่และระบบทางเดินอาหารบกพร่อง ผลอะโวคาโด สามารถนำมาใช้พอกหน้าก่อนนอน เพราะจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับสาวผิวแห้งได้
นอกจากนี้ ผลอะโวคาโคยังสามารถนำมารับประทานได้ โดยนำมาใส่ในยำ เครื่องเคียงสเต๊ก หรือจะโขลกใส่น้ำพริกก็ได้ แต่ต้องผ่านกระบวนการปรุงสุกก่อน เพราะรับประทานดิบๆ ไม่ได้
ที่มาและการอ้างอิง
หนังสือรู้ทันโรคบริโภคสมุนไพร ผู้แต่ง อารีรัตน์
แนะนำ : เกร็ดความรู้สั้น ๆ พร้อมข้อคิด กินอย่างไรให้สุขภาพดี Ep.34
แนะนำ : เกร็ดความรู้เรื่องสุขภาพ : วิธีการดูแลอาการเข่าเสื่อมอย่างถูกวิธี Ep.35
แนะนำ : เกร็ดความรู้เรื่องสมุนไพรไทย : แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ช่วยขับลม Ep.36