วันเสาร์, 27 กรกฎาคม 2567

ผลกรรมตามทันของอดีตพระสมยศ

พระพุทธศาสนาไม่เคยมัวหมอง แต่เป็นเพราะบุคคลมีจิตใจต่ำทรามที่เข้าไปอยู่ใต้ร่มเงาบวรพระพุทธศาสนาบางคน เป็นผู้สร้างมลทินมัวหมองอย่างน่าสลดสังเวช ดังเช่นที่เคยพบเห็นด้วยตัวเองมาแล้ว และยังได้เห็นจุดจบของบุคคลที่มีจิตใจต่ำทรามว่ามีสถานภาพเป็นอย่างไร ขอยืนยันว่าเรื่องที่จะเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงแต่ไม่สามารถระบุชื่อจริง นามสกุลจริง ตลอดจนชื่ออารามอย่างเปิดเผยได้เท่านั้น

 

 

ผมเป็นคนบ้านนอกอยู่ที่ตำบลแห้งแล้งกันดาร ตำบลแห่งหนึ่งของจังหวัดร้อยเอ็ด เรียนจบแค่ ป. 4 ก็ไม่ได้เรียนต่อ เพราะสมัยนั้นการศึกษาภาคบังคับแค่ประถมปีที่ 4 เมื่อไม่ได้เรียนหนังสือพ่อกับแม่ก็ให้บวชเป็นเณร เพราะเกรงว่าถ้าอยู่บ้านเฉยๆ จะกลายเป็นเด็กเกเรเที่ยวเตร่สนุกสนานไปวันๆ เนื่องจากตัวผมเองตอนเด็กๆ ค่อนข้างซุกซนและออกจะดื้อเอาการ หากบวชเป็นเณรอยู่วัดยังมีหลวงลุงหลวงตาคอยกำราบให้อยู่ในระเบียบวินัย จะได้ไม่ออกนอกลู่นอกทาง

 

พ่อแม่ผมคิดถูก ที่ให้บวชเป็นสามเณร เมื่อมาอยู่วัดแล้วจำเป็นต้องสำรวมอยู่ในกฎระเบียบของข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ รวมทั้งต้องเรียนนักธรรมไปด้วย โอกาสที่จะไปเที่ยวตะลอนๆ ไปทั่วหมู่บ้านจึงไม่มี  ผมเป็นสามเณรจนอายุได้ 13 ปี ก็ข้อสอบนักธรรมตรีได้พอดีกับพระสมยศซึ่งบวชที่วัดเดียวกันกับที่ผมบวชเป็นสามเณรอยู่นี้กลับมาเยี่ยมบ้าน (พระสมยศเป็นคนอยู่หมู่บ้านเดียวกัน)

 

ตอนที่พระสมยศมาเยี่ยมบ้านและโปรดญาติโยมพักอยู่ที่วัดผมก็เข้าไปรับใช้ เพราะอยากฟังเรื่องกรุงเทพ ซึ่งพระสมยศชอบเล่าให้ฟังด้วยว่า กรุงเทพเจริญอย่างไร มีตึกรามบ้านช่องมากมายขนาดไหน รวมทั้งเรื่องอาหารขบฉันก็เหลือเฟือ บิณฑบาตแต่ละวันอุ้มบาตรกลับวัดแทบไม่ไหว นอกจากจะได้ภัตตาหารแล้ว ชาวกรุงเทพยังนิยมเอาปัจจัยใส่ซองถวายใส่บาตรให้ด้วย

 

อันที่จริงการที่พระสมยศเล่าเรื่องนี้ผิดวิสัยสมณะและไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่ไม่มีใครท้วงติง เพราะพระที่วัดก็พลอยเห่อพระกรุงเทพเอามากๆ ยิ่งผมด้วยแล้วไม่ได้สะดุดหูสะดุดตาอะไรเลย เพราะเป็นสามเณรเด็กๆ ซ้ำยังอยากไปเที่ยวกรุงเทพเสียอีก พอดีพระสมยศชวนให้ไปอยู่ด้วยที่วัดในกรุงเทพโดยจะให้อยู่กุฏิเดียวกัน และจะสนับสนุนให้เรียนนักธรรมตรีโทต่อ ก็ดีใจรีบไปขออนุญาติโยมพ่อโยมแม่ ซึ่งท่านก็อนุญาตและเมื่อเจ้าอาวาสอนุญาตโดยมอบหน้าที่ดูแลให้แก่พระสมยศแล้ว เมื่อพระสมยศกลับกรุงเทพ ผมจึงติดตามมาด้วย

 

เข้ากรุงเทพครั้งแรกในชีวิตก็ตื่นเต้น เพราะไม่เคยเห็นตึกสูงๆ ผู้คนมากมายและรถราขวักไขว่ไปหมด วัดที่พระสมยศจำพรรษาอยู่ไปทางตะวันตกเป็นวัดที่มีสถานฌาปนกิจด้วย ผมก็อยู่ที่กุฏิพระสมยศตั้งแต่นั้นมีหน้าที่คอยรับใช้ปรนนิบัติพระสมยศสารพัด ตั้งแต่ปัดกวาดเช็ดถูกุฏิไปจนถึงซักสงบจีวร วิ่งซื้อน้ำปานะหรือน้ำอัดลม ประเภท น้ำส้ม น้ำหวาน น้ำดำ น้ำแดง

 

พระสมยศรูปนี้อายุเกือบ 40 แล้ว มีความรู้ทางโหราศาสตร์ จึงเปิดกุฏิเป็นพระหมอดูสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาอะไรเทือกนี้ แต่ละวันจะมีญาติโยมมาดูชะตาราศีกันไม่ขาดสาย ว่ากันว่าพระสมยศทายแม่น แต่สำหรับความเห็นของผม เท่าที่ใกล้ชิดกับพระสมยศ ผมว่าพระสมยศพูดเก่งมาก พูดทำให้ผู้คนมาดูหมอหัวเราะกัน ดังนั้นโยมสีกาจึงมาที่กุฏิพระสมยศกันมาก

 

อันที่จริง ไม่อยากเล่าเรื่องพระสมยศต่อสาธารณชนเลย เพราะไม่ใช่พระภิกษุส่วนมากหรือทั่วไปจะมีความประพฤติปฏิบัติเช่นพระสมยศกระทำ แต่ที่อยากจะเล่าก็เพราะได้เห็นพระสมยศได้พบกับ กฎแห่งกรรม ด้วยตัวเองอย่างเห็นได้ชัด ตรงเหตุผลข้อนี้แหละที่ตัดสินใจนำเรื่องพระสมยศมาเปิดเผย

 

ตอนนั้นผมเป็นสามเณรเป็นเด็กๆ อายุไม่ถึง 14 ปี ความรู้สึกนึกคิดหลายส่วนต้องยอมรับว่า ออกจะนับถือพระสมยศเอามากๆ เพราะขนาดเป็นไข้ยังมีรายได้แทบทุกวันจากการเป็นหมอดู หรือถ้ามีการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาก็ยิ่งได้เงินจำนวนมาก แต่ความคิดอีกส่วนหนึ่งก็ตะขิดตะขวงใจเหมือนกัน เพราะผมเรียนนักธรรมมา พอจะรู้พระวินัยและวัตรปฏิบัติของพระภิกษุมากพอสมควร สำหรับพระสมยศแล้วดูเหมือนจะทำผิดวินัยหลายข้อหลายประการแต่ไม่เห็นมีใครสนใจ พระที่อยู่ร่วมวัดเดียวกันก็อยู่กันไปแบบตัวใครตัวมันไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกัน

 

ท่านเจ้าอาวาสเองยังไม่เคยว่าปรามพระสมยศเลย ผมเคยรับฟังมาจากพระสมยศว่าได้ถวายปัจจัยที่ได้จากการดูหมอบ้าง สะเดาะเคราะห์ต่อชะตาบ้างแต่เจ้าอาวาสนำไปบำรุงวัดบ่อยๆ อีกข้อหนึ่งที่พระสมยศกระทำผิดวินัยชัดเจนและเข้าขั้นรุนแรงเท่าที่รู้ก็คือ พระสมยศแอบให้แม่ค้าขายกาแฟ น้ำขวด ซึ่งอาศัยเช่าที่วัดเปิดเป็นแผงลอยกู้ยืมเงินไปเป็นหมื่น และลูกสาวแม่ค้าขายกาแฟรายนี้มักจะมาป้วนเปี้ยนที่กุฏิพระสมยศทุกวัน

 

ลูกสาวแม่ค้าขายกาแฟคนนี้ไม่ใช่เด็กๆ อายุ 16-17 แล้ว แต่งตัวก็ไม่เรียบร้อยเหมาะสม ชอบใส่กางเกงขาสั้นเสื้อยืดรัดรูปเป็นประจำ พระสมยศก็ไม่เคยว่ากล่าวตักเตือน ซ้ำยังพูดจาเล่นหัวสนิทสนมอย่างน่าเกลียด และเท่าที่รู้เห็นโดยไม่ตั้งใจก็คือเด็กสาวคนนี้ขอเงินพระสมยศใช้บ่อยๆ และพระสมยศก็ให้ทุกครั้ง ผมมาอยู่วัดกรุงเทพนานเกือบปี ไม่ได้เรียนนักธรรมต่อเหมือนที่พระสมยศให้คำรับรองเอาไว้ เพราะต้องคอยปรนนิบัติรับใช้พระสมยศตลอดวัน พอดีทางบ้านเขียนจดหมายมาบอกว่าโยมพ่อป่วยหนัก จึงขออนุญาตพระสมยศเดินทางกลับบ้าน กลับไปไม่นานโยมพ่อก็เสียชีวิต

 

เมื่อเผาศพโยมพ่อแล้ว และประจวบเหมาะกับการออกพรรษา ผมจึงต้องสึกจากสามเณรเพื่อกลับมาช่วยทำงานในครอบครัว เนื่องจากเหลือโยมแม่คนเดียวกับผู้ชาย 2 คน พี่สาวคนโตก็ออกเรือนไปแล้ว

 

อีก 4 ปีต่อมา ผมอายุเกือบ 18 ปีเต็ม พอหมดหน้านาก็ขออนุญาตแม่มาหางานทำที่กรุงเทพ เพราะอยู่บ้านก็ไม่มีรายได้อะไร แม่ก็อนุญาต ดังนั้นจึงขึ้นรถ บขส. เข้ากรุงเทพ พอลงรถที่สถานีขนส่งตลาดหมอชิตแล้วก็มุ่งตรงไปยังวัดที่เคยมาอยู่กับพระสมยศสมัยเป็นเณร ตั้งใจจะขอพักพิงกับพระสมยศชั่วระยะเวลาหนึ่งระหว่างที่ออกตะเวนหางานทำ หากมีงานทำแล้วค่อยคิดขยับขยายต่ออีก

 

พอถึงวัดที่ถนนตกและเข้าไปยังกุฏิของพระสมยศ ปรากฏว่ามีพระอื่นมาอยู่แทน คือหลวงพี่ถาวร เมื่อผมนมัสการกราบเรียนถามถึงพระสมยศหลวงพี่ถาวรบอกให้ทราบว่า พระสมยศลาสิกขาออกไปเกือบ 2 ปีแล้ว เมื่อหลวงพี่ถาวรทราบว่าผมมาหางานทำ และหวังจะมาพึ่งพระสมยศของอาศัยพำนักพักพิง หลวงพี่ถาวรก็เมตตาให้พักอยู่กับท่านเป็นการชั่วคราว ทั้งนี้คงเนื่องมาจากสมัยที่ผมเป็นสามเณรอยู่กับพระสมยศ เวลาหลวงพี่ถาวรเรียกใช้ผมทำอะไร ก็จะรับทำให้ด้วยความเต็มใจ ความดีเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ทำให้ไม่ตกระกำลำบากเพราะหมดที่พึ่ง

 

เมื่อพักกับหลวงพี่ถาวรเพียงวันแรก ก็ทราบสาเหตุที่พระสมยศลาสิกขาออกจากร่มกาเสาวพัสตร์ไปเป็นฆราวาส เนื่องจากความประพฤติของตนนั่นเอง กล่าวคือลูกสาวแม่ค้าขายกาแฟคนเดิมเข้าไปวุ่นวายที่กุฏิพระสงฆ์ไม่เลือกเวล่ำเวลา และพระสมยศก็พลอยยินดีไปกับการกระทำอันผิดวิสัยสมณะเช่นนั้น และไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ว่าพระสมยศละเมิดพระธรรมวินัยร้ายแรงถึงขั้นปาราชิกหรือไม่

 

แต่ท่านเจ้าอาวาสไม่ยอมปล่อยให้ชื่อเสียงอารามของท่านเสื่อมเสียฉาวโฉ่ เพราะการกระทำของพระสมยศ ท่านจึงมียื่นคำขาดให้พระสมยศลาสิขาไปเสีย ไม่เช่นนั้นท่านจะจับสึกเอง พระสมยศจึงต้องลาสิขาไปในวันนั้น หลวงพี่ถาวรเล่าต่อไปว่า เมื่อพระสมยศสึกไปแล้วก็ไปอยู่กินกับลูกสาวแม่ค้าขายกาแฟในฐานะสามีภรรยากัน โดยอาศัยอยู่ที่บ้านแม่ยายในซอยหลังวัดนี้เอง ได้ยึดอาชีพเป็นหมอดูเหมือนเดิม แต่ปรากฏว่าไม่แม่นยำเช่นตอนเป็นพระ คนที่เคยมาหาหายหน้าไปเรื่อยๆ กระทั่งไม่มีรายได้เอาเสียเลย

 

หลวงพี่ถาวรเล่าเรื่องพระสมยศให้ฟังเพียงเท่านี้ก็ตัดบทเอาง่ายๆ ว่า ถ้าอยากรู้รายละเอียดเรื่องนี้ให้ไปถามตามีสัปเหร่อเอาเอง เท่าที่ท่านเล่ามานี้ก็ไม่ใช่กิจของสงฆ์อยู่แล้ว ผมเองก็ไม่กล้าซักถามอะไรท่านอีก คืนนั้นอาศัยซุกหัวนอนอยู่ในกุฏิหลวงพี่ถาวร ไม่กล้าไปรบกวนตามีเนื่องจากเย็นวันนั้นมีงานฌาปนกิจศพถึงสองราย เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตามหลังหลวงพี่ถาวรออกไปบิณฑบาตในฐานะศิษย์วัด เพื่อช่วยหิ้วภัตตาหารที่ชาวบ้านใส่บาตรจนล้น ต้องแบ่งมาใส่ถุงพลาสติกหิ้วติดตามท่านไปเรื่อยๆ กระทั่งกลับวัด

 

เมื่อหลวงพี่ถาวรฉันเช้าเรียบร้อย ผมก็ได้อาศัยข้าวก้นบาตรต่อชีวิตไปอีกมื้อ ทำความสะอาดภาชนะแล้วปัดกวาดเช็ดถูศาลาเสร็จก็เลี่ยงไปหาตามีสับปเหร่อ ซึ่งมีบ้านหลังเล็กๆ อยู่หลังวัด ตามีเจอผมก็ดีอกดีใจตามประสาคนรู้จักคุ้นเคยกันมา เมื่อถามถึงอดีตพระสมยศ ตามีได้ยินคำถามก็มีท่าทางซึมๆ ไป จากนั้นตามีก็เล่าเรื่องหลวงพี่ถาวรได้เล่าให้ผมฟังว่า

 

ทิดสมยศมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง เห็นว่ามีหลายหมื่นเมื่อไปอยู่กินกับลูกสาวแม่ค้าขายกาแฟ ทิดสมยศได้ให้เงินเมียสาวคราวลูกเก็บรักษาไว้หมด อยู่กันมาไม่ถึงปี เงินหลายหมื่นที่มีอยู่ก็หมดเกลี้ยง เพราะเมียสาวของพี่สมยศเที่ยวเก่ง บ่อยครั้งที่กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ มีเรื่องทะเลาะเป็นปากเสียงกันแทบทุกวัน ทะเลาะกันทีไรทิดสมยศต้องเป็นฝ่ายเงียบก่อนทุกครั้ง เพราะเมียเด็กปากจัดเหลือกำลัง เวลาโมโหขึ้นมาด่าว่าเสียๆ หายๆ ไม่มีเกรงใจ

 

ส่วนแม่ยายก็เข้าข้างลูกสาวอย่างออกหน้าออกตา ยิ่งตอนเงินก้อนใหญ่ของพี่สมยศหมด รายได้จากอาชีพหมอดูไม่ค่อยมีที่สมยศก็เท่ากับไม่มีค่าไม่มีราคาอะไรเลย ทั้งเมียทั้งแม่ยายแสดงความรังเกียจชนิดไม่ไว้หน้าไม่ถนอมน้ำใจแม้แต่น้อย ชีวิตของทิดสมยศจริงยิ่งกว่านิยายน้ำเน่า ที่ตามีสัปเหร่อรู้เรื่องของทิดสมยศละเอียดก็เพราะทิดสมยศก็จะแวะมาระบายความทุกข์ตรมให้ตามีฟังบ่อยๆ แล้วก็มาใสกินเหล้ากับตามีดับทุกข์ ดุจคนโง่เขลาเบาปัญญา เพราะการกินเหล้าเมามายมันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาของคนที่บวชเรียนมาแล้วถึง 10 กว่าพรรษา

 

ผมจำได้ว่าขณะนั้นสงสารพี่สมยศจับใจ จึงถามตามีออกไปว่า

“ตอนนี้พี่สมยศเป็นยังไงบ้าง ผมอยากไปเยี่ยม เพราะถึงยังไงแกก็มีบุญคุณกับผม”

“มันสบายไปแล้ว”  ตามีตอบ

“อ้าว! ตาพึ่งบอกผมอยู่หยกๆ ว่าทิศสมยศกำลังทุกข์หนักเรื่องครอบครัวของแก ทำไมถึงสบายได้ล่ะ?” ผมชักงง

“คนตายก็พ้นทุกข์ไปซีวะ ไอ้ทิดสมยศมันจะผูกคอตายเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ทำไมจะไม่สบายล่ะไอ้หนู”

 

ผมได้ยินว่าทิดสมยศผูกคอตายแล้วถึงกับเย็นวาบไปทั้งตัว โถ่เอ๋ยทิดสมยศ ไม่น่าจะจบชีวิตแบบนี้เลย อุตส่าห์บวชมานาน รู้ผิด รู้ชอบ รู้เรื่องกรรมดีกรรมชั่วถึงขนาดสั่งสอนคนได้ แต่ตัวเองกลับคิดสั้น เอาความตายมาเป็นหนทางหนีปัญหาของตัวเองอย่างน่าสังเวชที่สุด ทั้งๆ ที่ปัญหาทั้งหมดทิดสมยศเป็นคนก่อขึ้นมาด้วยตัวเองแท้ๆ

 

เหตุการณ์เรื่องพระสมยศสึกออกมาเป็นทิดสมยศแล้วฆ่าตัวตายเกิดขึ้นตอนที่ผมเป็นเด็กวัยรุ่น ยังไม่มีปัญหาความคิดลึกซึ้งอะไรนัก เมื่อรู้ว่าที่สมยศหนีโลกหนีความทุกข์ด้วยการฆ่าตัวตายก็ได้แค่เสียใจ จากนั้นก็ค่อยๆ ลืมเพราะผมต้องดิ้นรนต่อสู้ในการดำรงชีวิตอย่างหนักกระทั่งสามารถตั้งตัวได้ มีอู่ซ่อมรถเป็นของตัวเอง มีครอบครัวและไม่เคยเกิดปัญหารุนแรงในครอบครัวลูกๆ ก็อยู่ในโอวาทและตอนนี้ผมก็อายุ 50 ปีแล้ว

 

เมื่อมีอายุมากขึ้น ก็เริ่มคิดถึงผลบุญผลกรรมมากขึ้น และคิดละเอียดมากกว่าเดิม และพยายามสอนเมียกับลูกๆ ให้เขาเกิดความสะดุ้งกลัวต่อบาปเวรที่เป็นวิบากกรรมติดตัวไปทุกๆ ชาติ โดยเฉพาะเรื่องของที่สมยศดังนี้ เมื่อนำมาคิดพิจารณาเป็นระดับตามขั้นตอน จึงได้เห็นโทษภัยจากการที่ทิดสมยศกระทำมาค่อนข้างชัดเจนทีเดียว

 

เอากันตั้งแต่เริ่มต้นตอนพระสมยศกลับไปเยี่ยมบ้าน การที่พระสมยศพูดคุยถึงความเจริญความโอ่อ่าของตึกรามบ้านช่องในกรุงเทพรวมทั้งอาหารขบบฉันที่ฟุ่มเฟือย ตลอดจนอดิเรกลาภซึ่งหาได้คล่องๆ แสดงถึงจิตใจของพระสมยศห่างไกลจากภิกษุอย่างเห็นได้ชัด เพราะแทนที่จะพยายามลดละกิเลส หรือตัดออกไปให้มากที่สุด พระสมยศดูจะหลงใหลได้ปลื้มกับกิเลสเครื่องย้อมใจเอามากๆ

 

เมื่อผมเป็นสามเณรมาอยู่กรุงเทพที่วัดกับพระสมยศ ยิ่งเห็นได้ชัดว่า พระสมยศแทบจะเรียกว่าเป็นสมณะแค่โกนหัวห่มผ้าเหลืองก็ว่าได้ เพราะวันๆ ไม่เคยใส่ใจกิจของสงฆ์เอาเสียเลย สนุกอยู่กับวิชาโหราศาสตร์ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงพระบัญญัติให้เป็นเดียรัจฉาน พระภิกษุควรละเว้น การที่พระสมยศใช้เดียรัจฉานวิชาก็มิใช่ช่วยสงเคราะห์ญาติโยมด้วยความเมตตา หากหวังได้ปัจจัยลาภสักการะเป็นสิ่งตอบแทน เมื่อได้ปัจจัยมาแล้วก็เก็บสะสมเป็นสมบัติส่วนตัวด้วยความละโมบ

 

เวลามีสีกามาดูหมอขอให้ทำนายทายทักโชคเคราะห์ พระสมยศก็จะฉลาดพูดฉลาดให้คำทำนายแบบกำกวมอำพราง ทำให้ดูเหมือนกับทำนายแม่นยำ แต่ส่วนมากพวกสีกามักจะมาให้ทำนายเรื่องครอบครัว ซึ่งวนเวียนอยู่แต่กามตัณหาเป็นส่วนใหญ่ แต่พระสมยศดูเหมือนจะสนุกรื่นเริงที่ได้พูดคุยทำนองสองแง่สองง่ามเป็นที่เฮฮา ขาดการสำรวมอย่างน่าเกลียดที่สุด

 

ที่กล้าพูดเช่นนี้ก็เพราะใกล้ชิดรู้เห็นความประพฤติของพระสมยศตลอดเวลา ไม่เคยเห็นพระสมยศปฏิบัติกรรมฐานเจริญภาวนาแม้แต่ครั้งเดียว นอกจากนอนฟังเพลงเพราะๆ จากเครื่องเสียงราคาแพง เพียงแต่ไม่มีโทรทัศน์มาดูให้กิเลสมันฟูเท่านั้น เนื่องจากวัดนี้ห้ามพระมีโทรทัศน์ในกุฏิ พูดถึงเรื่องโทรทัศน์ขอออกนอกเรื่องสักนิด เคยไปที่วัดหนึ่งในเขตจังหวัดสมุทรปราการ มองขึ้นไปบนหลังคากุฏิแบบเรือนแถว หลังคาทรงไทยใต้ถุนสูงเห็นเสาอากาศติดตั้งสลอนนับได้เกือบ 10 เสา มองไปยังกุฏิหลังอื่นๆ ตลอดจนกุฏิเจ้าอาวาสก็มีเสาอากาศเหมือนกัน (บางวัดมีการตั้งจานดาวเทียม) แสดงว่าพระเณรวัดมีโทรทัศน์ดูกันเยอะ

 

เมื่อมีโทรทัศน์ก็ต้องมีเครื่องเล่นวีดีโอพ่วงเข้าไปด้วย ลูกศิษย์ของพระคุณเจ้าย่อมจะออกไปเช่าเทปวีดีโอ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ฝรั่งบ้างจีนบ้างมาเปิดให้พระคุณเจ้าทั้งหลายได้เพลิดเพลิน แล้วภาพยนตร์ลามก ยั่วยุกามารมณ์ ซึ่งมีขายเกลื่อน (และบางร้านก็มีให้เช่า) จะไม่หลุดรอดมาสู่สายตาพระคุณเจ้าบ้างเลยกระนั้นหรือ

 

ความเสื่อมที่บังเกิดแก่สมณะผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาเช่นนี้ คือความสลดสังเวชที่ควรแก้ไขและกำจัดให้หมดสิ้นไปให้ได้ ผู้ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบไม่ว่าจะเป็นเถรสมาคม หรือกรมการศาสนาควรจะให้ความสนใจอย่างจริงจังเสียที ก่อนที่ความเสื่อมจากแผ่ขยายออกไปจนเกินแก้

 

การที่พระสมยศให้แม่ค้าขายกาแฟกู้เงินไปจำนวนหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงการผิดพระวินัยหรอก เพราะผิดถึงขั้นอาบัติร้ายแรงอยู่แล้ว แต่มาดูเจตนาของพระสมยศในการกระทำเช่นนี้จะเห็นว่ามีเลศนัยไม่บริสุทธิ์แอบแฝงแน่นอน ทั้งนี้แม่ค้าขายกาแฟได้ส่งลูกสาว ซึ่งมีอุปนิสัยไม่น่าชื่นชมสักอย่างเดียว เข้าไปพัวพันกระทั่งเกิดเหตุเลวทรามถึงขั้นต้องถูกบังคับให้สึกได้ลาสิกขาบทไปเสีย แล้วทิดสมยศไปอยู่กินฉันสามีภรรยากับลูกสาวแม่ค้าขายกาแฟ ซึ่งขนาดนั้นอายุยังไม่เต็ม 20 ปีเสียด้วยซ้ำ ย่อมแสดงว่าพระสมยศน่าจะทุศีลไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ผมครองผ้ากาสาวพัสตร์

 

ความสัมพันธ์ถึงขั้นเป็นสามีภรรยากันระหว่างทิดสมยศกับลูกสาวแม่ค้าขายกาแฟ เห็นทีจะไม่ใช่พื้นฐานจากความรักใคร่เยี่ยงปุถุชนโดยทั่วไป สองแม่ลูกคู่นี้คงหวังได้เงินทองจากพี่สมยศเป็นสำคัญ เมื่อทิดสมยศไม่มีเงินอีกต่อไป ซ้ำยังไม่มีรายได้มาจุนเจือครอบครัวอย่างเพียงพอ ทิดสมยศจึงถูกบีบคั้นกดดันให้เกิดความทุกข์ทางใจอย่างสาหัส ประหนึ่งเงื้อมเงาแห่งอกุศลกรรมที่ทิดสมยศกระทำขณะอาศัยอยู่ในสมณเพศ เปิดฉากรุมเร้าให้ปราศจากความสุขอย่างสิ้นเชิง

 

ความทุกข์ทางใจซึ่งโหมกระหน่ำทับทวีเช่นที่ทิดสมยศได้รับ จะหลีกหนีไปก็ง่ายๆ แสนง่าย เพียงแค่หอบเสื้อผ้าออกจากบ้านแม่ยายกับภรรยาซึ่งไม่อาลัยไยดีตนเสียเท่านั้น ความรู้สึกที่เศร้าหมองทรมานใจก็จะไม่ได้รับมาเพิ่มเติมอีก แต่ทิดสมยศไม่ยอมหนี ไม่ยอมผละจากไป อุปมาดุจยืนอยู่กลางไฟที่กำลังเผาไหม้ตัวเอง โดยไม่ยอมโดดหนีออกไปให้พ้น ยอมทนทุกข์ทรมานจากความร้อนเร่าที่เผารน ซึ่งคงเนื่องจากความรักใคร่หลงใหลภรรยาสาววัยอ่อนเยาว์จนหน้ามืดตามัวนั้นเอง

 

ทิดสมยศจึงไม่ผิดกับอยู่ในนรกบนดิน ทั้งๆ ที่มีชีวิต มีลมหายใจ ตกนรกทั้งเป็นจากกรรมชั่วของตน เมื่อทนทุกข์ทรมานต่อไปไม่ไหว จึงตัดสินใจทำร้ายชีวิตตนหวังว่าความทุกข์เกินทนนั้นจะได้ยุติเสียที แต่วิบากครั้งนี้มีหรือจะปล่อยให้วิญญาณทิดสมยศเป็นอิสระ หลุดรอดเงื้อมมือกฎแห่งกรรมไปได้

 

ป่านฉะนี้วิญญาณทิดสมยศคงทุกข์ทรมานแสนสาหัสจากวิบากนรกอันสยดสยองไปอีกนานแสนนานทีเดียว

 

ที่มาและการอ้างอิง

วาระสุดท้ายของกรรมชั่ว – นที  ลานโพธิ์ เรียบเรียง