วันเสาร์, 2 พฤศจิกายน 2567

กรรม ตัดแขน ตัดขาสัตว์

คนบางคนร้ายกาจ เพราะโดนสังคมกดดันและต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อที่จะเอาตนเองให้รอด จึงคิดผิด เห็นผิดเห็นแก่ตัวกันเยอะ ในขณะที่คนบางคนนั้นไม่ได้ลำบากอะไร ไม่ต้องต่อสู้อะไร ว่าอยากทำผิดทำบาปด้วยนิสัยติดตัว หรือที่เรียกว่าสันดานนั่นเอง

 

 

ครอบครัวมีชื่อครอบครัวหนึ่ง นับได้ว่าทุกคนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีเกิดมาชอบทำบุญกันทั้งบ้าน ว่างไม่ได้ หยุดไม่ได้ มักทำบุญทำทานกันตลอดมาโดยไม่มีใครขัดใครเลย แต่ทว่าครอบครัวหนึ่งก็มักจะต้องมีอยู่คนหนึ่งที่ประพฤติตนตนเป็นแกะดำของครอบครัว และครอบครัวนี้ก็ไม่ได้รับการละเว้นและแกะดำของครอบครัวนี้ นั่นก็คือ “กรด” สาเหตุที่เขาชื่อเล่นว่ากรดนั้นเป็นเพราะเขาฉลาดและว่องไวในการเรียนรู้ พ่อจึงเรียกเขาว่ากรด ที่มาจากคำว่าฉลาดเป็นกรด

 

กรดเป็นคนแปลก ยามเมื่อใดก็ตามที่พ่อแม่เขาพาไปวัดเพื่อทำบุญเขาจะร้องไห้เสมอ ผิดกับพี่ๆ น้องๆ ทุกคนของตระกูล เมื่ออายุมากขึ้นอาการของเขายิ่งรุนแรงขึ้น จนพ่อและแม่ยอมแพ้ ไม่ต้องพามันไปสักคนก็ได้ แต่ว่าการยอมแพ้ของพ่อและแม่มันมาเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวเลวร้ายต่างๆ ที่ตามมาอย่างมากมาย จุดเริ่มต้นเลวร้ายที่มาจากการอยากทดลองของกรด เมื่อต้องอยู่บ้านเพียงลำพัง กรดจึงมีเวลาว่างคิดโน่นคิดนี่ และมีเวลาว่างที่จะสงสัยอยู่ตลอดเวลา

 

วันหนึ่งกรดในวัย 10 ขวบ เกิดสงสัยว่า หากเขาจับจิ้งจกมาตัดขาแล้วมันจะยังไต่ข้างฝาได้อย่างเดิมไหม และโดยไม่รอช้าเขาจึงอาศัยช่วงที่ทุกคนไปทำบุญกัน คอยดักจับจิ้งจกมาจนได้ โดยไม่มีความยั้งคิดเลยสักนิด กรดหยิบคันเตอร์เล่มคมขึ้นมา และจับเจ้าจิ้งจกเคราะห์นั่นมาตัดขาออกทั้ง 4 ข้าง และปล่อยมันไป เขาจำได้ดี เขามองภาพของมันที่ค่อยๆ กระดึ๊บไปไม่ต่างจากตัวหนอน เลือดออกจากบาดแผลของมันที่ถูกตัดออก ไม่ได้ทำให้กรดสงสาร กลับทำให้เขาหัวเราะสนุกสนานกับการกระทำของตนเองโดยไม่คิดสักนิดว่ามันจะเจ็บปวดทรมานขนาดไหน

 

“ฮ่าๆๆๆ หนอนเลือด หนอนเลือด”

เสียงเด็กชายหัวเราะ เขารู้สึกถูกอกถูกใจในสิ่งที่ทำรู้สึกสนุกจนต้องทำอีกอย่างแน่นอน

 

ไม่ใช่แต่เพียงจิ้งจกนับร้อยเท่านั้นที่โดนกรดจากมาตัดขาแยกชิ้นส่วนร่างกายของมัน เพราะเขาไม่ได้พอใจอยู่แค่นั้น เขาอยากเห็นอย่างอื่นบ้าง อย่างอื่นหากว่าโดนจับตัดขาเหมือนกันแล้วจะให้ความบันเทิงกับเขาได้หรือไม่ มันจะเหมือนที่เขาจินตนาการไว้หรือเปล่า และเมื่อมีโอกาสกรดก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดมือ คราวนี้สัตว์ที่เคราะห์ร้ายนั่นก็คือแมว

 

แมวสีน้ำตาลอ้วนกลม มันดูขี้เกียจเป็นอย่างยิ่งในเวลาตอนบ่ายๆ เช่นนั้น กรดในตอนนั้นเขาอายุ 15 ปีแล้ว เป็นนักฆ่าแยกชิ้นส่วนสัตว์มือฉมัง โดยเฉพาะสัตว์จำพวกจิ้งจก ตุ๊กแก กิ้งก่า และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาจะลองจับสัตว์อย่างแมวมาทำแบบนี้ และเจ้าอ้วนตัวน้ำตาลนี่แหละที่เขาเล็งเอามาเป็นเหยื่อ

 

วันนั้นเป็นอีกครั้งที่ไม่มีใครอยู่บ้าน แม่ออกไปทำบุญส่วนพ่อนั้นไปทำงาน และต้องไปค้างต่างจังหวัดกว่า 3 คืน และพี่ๆ น้องๆ ของเขาก็ต่างต้องเตรียมตัวสอบไม่มีเวลามาสนใจกันและกัน กรดน่ะหรือที่จริงเขาเองก็ต้องเตรียมตัวสอบเหมือนกัน แต่เขาเลือกที่จะไม่สนใจหนังสือที่กองเป็นตั้งในห้องนอน เขาสนใจมีดผ่าตัดที่เขาสั่งซื้อมาจากอินเตอร์เน็ตที่กำลังนอนรอคอยการเล่นสนุกของเขาอย่างใจจดใจจ่อต่างหาก

 

จนเมื่อถึงเวลานั้นมาถึง เมื่อทุกคนเผลอ เขาก็แค่มองหาที่สงบๆ เงียบๆ สักที่หนึ่งและพาเจ้าแมวสีน้ำตาลไปด้วยก็แค่นั้น เจ้าแมวสีน้ำตาลตัวนั้นมันไม่ได้หนีเขาไปไหน เพราะมันเป็นแมวแถวนั้นและมันก็คุ้นเคยกับเขาดี เด็กชายวัยรุ่นแค่เพียงเอาอาหารให้มันบ่อยๆ จนกระทั่งมันเคยชินก็เท่านั้น เขาพามันเข้ามาที่ห้องเก็บของที่อยู่หลังบ้าน ที่นี่ไม่มีใครมามากเท่าไหร่นัก และมันเหมาะที่จะทำการแยกชิ้นส่วนเจ้าเหมียว เขาหยิบมีดผ่าตัดคมกริบวาววับขึ้นมา ไม่นานนักจากนั้นก็มีคนได้ยินเสียงแมวร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นหลายต่อหลายครั้ง

 

กรดหัวเราะอย่างสะใจมองดูคล้ายคนวิปริตที่ชอบความเจ็บปวด และตอนนี้เขายิ่งสะใจที่เห็นร่างอ้วนกลมของเจ้าแมวตัวนั้นค่อยๆ พยายามคลานกระดึ๊บไปที่ประตู สายตาของมันที่ทอดมองมานั้นเจ็บปวด และไม่เข้าใจว่ามนุษย์อย่างเขาทำกับมันแบบนี้ทำไม แต่อย่างน้อยเจ้าเหมียวเคราะห์ร้ายมันก็เข้าใจอย่างหนึ่งว่า หากมันอยู่ที่นี่ต่อไปมันคงต้องตายอย่างแน่นอน มันจึงพยายามตะเกียกตะกายกระเสือกกระสนเพื่อที่จะไปให้ห่างจากคนใจร้ายให้เร็วที่สุด ดูเหมือนชะตาชีวิตของแมวยังไม่ถึงฆาต เพราะตอนที่มันกำลังจะหมดแรงนั้น เสียงเรียกชื่อของกรดก็ดังขึ้นที่หน้าห้องเก็บของ

 

“กรดๆ ทำอะไรอยู่ในนี้นานสองนานลูก”

แม่ของกรดนั่นเอง นางกลับจากทำบุญแล้วจึงเข้ามาดูลูกชายของนาง และนั่นทำให้กรดตาเหลือกกลัวแม่มาเห็นในสิ่งที่เขาทำแล้วเขาจะโดนทำโทษ เขาจึงตัดสินใจจับร่างเจ้าเหมียวโยนออกไปนอกหน้าต่างซึ่งอยู่ติดกับกำแพงก่อนจะสำรวจความเรียบร้อยของตัวเอง

“ผมกำลังหัดวาดรูปฮะ ต้องใช้สมาธิสูง”

เขาบอกว่าน่าจะเป็นเหตุผลที่เข้าท่าพอควร เพราะแม่ของเขาเพียงแค่ยื่นหน้ามามองเล็กน้อย แล้วเบ้หน้า

“เท่านั้นหรือลูก งั้นพักก่อน มากินข้าวได้แล้ว”

นางว่า และหากเพียงแต่นางเข้าไปอีกสักนิด นางอาจจะเห็นในสิ่งที่ทำให้คนหัวใจบุญอย่างนางใจแตกสลายก็เป็นได้

 

เมื่อโยนแมวออกมาจากบ้านแล้ว เจ้าเหมียวก็พยายามคลานต่อไป แต่ตัวของแมวเล็กนิดเดียวเลือดที่ออกมากมายอย่างนั้นมันมากเกินกว่าที่ร่างกายเล็กๆ จะทนไหว เจ้าเหมียวจึงได้แต่นอนแบบหายใจอยู่กับที่ จนกระทั่งมีรถคันหนึ่งมาจอดใกล้ๆ และเจ้าของรถคันนั้นโวยวายเสียงดัง ก่อนที่มันจะรู้สึกว่าโดนอุ้มไปอีกครั้ง

 

ในขณะที่กรดเองนั้นไม่ได้หยุดการทํากรรมลงง่ายๆ หลายครั้งที่ทั้งสุนัขจรจัดและแมวต้องเป็นเหยื่อของเขา จนกระทั่งเขาเรียนมหาวิทยาลัยนั่นเอง บริบทของเวรกรรมจึงตามเขามาทัน

 

บางครั้งเวรกรรมก็แอบมาในรูปแบบของจองเวร มีเจ้ากรรมมีนายเวรมาสนอง หากแต่ในกรณีของกรดแตกต่างไปจากนั้น เพราะว่าทุกอย่างมันเริ่มที่ตัวของเขา และดังนั้นทุกอย่างมันก็คงจะจบที่ตัวของเขานั่นเอง

“โว้ย เบื่อจริงๆ พรุ่งนี้ต้องเข้าเรียนวรรณกรรมอีกแล้ว ทำไมต้องมีวิชานี้เป็นภาคบังคับด้วยวะ”  เสียงของเขาบ่นอย่างสุดเซ็ง

“เอาน่า อีกไม่นานก็จะจบแล้ว อย่าไปคิดอะไรมากเลย”

เพื่อนๆ ของเขาบอก หากคนอย่างกรดเขาไม่เคยเชื่อใครง่ายๆ ดังนั้นเมื่อเพื่อนๆ เข้าเรียนเขากลับโดดเรียนและไม่คิดอยากจะเข้าเรียนอีกเลย หากแต่ใครจะไปรู้ว่าวันนี้แหละเป็นวันที่เวรกรรมตามสนองอย่างสาสม และวันนี้มันเป็นเพียงบททดสอบเริ่มแรกเท่านั้น

 

เขาไม่ได้เข้าเรียนและเดินออกไปจนถึงร้านอาหารแห่งหนึ่ง ชื่อร้านแก้วตาตั้งอยู่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยที่เขาเรียนนัก ปกติร้านแก้วตานี้จะเป็นที่ที่เขาและเพื่อนๆ มามานั่งด้วยกันเวลาโดดเรียน แต่เพราะว่าวันนี้เป็นวันที่ใกล้สอบจึงไม่มีใครอยากจะโดดมากับเขา และหากย้อนเวลากลับไปได้เขาจะไม่มาที่นี่วันนี้เด็ดขาด เพราะเพียงแค่เขานั่งไปเพียงแค่แป๊บเดียวเท่านั้น เสียงของแม่ครัวก็ร้องอย่างตกใจ และเมื่อกรดหันไปเห็นก็ช้าไปเสียแล้ว  เพราะสิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจตอนนี้อยู่ข้างหลังเขาเรียบร้อยแล้ว หมาพิทบูลมันแยกเขี้ยวอยู่ด้านหลังเขา และเมื่อเขารู้ตัวมันก็กระโดดงับขาจนจมเขี้ยว

 

“อ้ากกกกก”

เสียงของกรดร้อง เมื่อรู้สึกถึงเส้นเอ็นและเลือดเนื้อของตนเองที่โดนกัดสะบัดจนฉีกขาด มือของเขาโดนกัดเข้าไปเต็มๆ และดูเหมือนว่านิ้วเปราะบางของเขาก็ด้วย เขายิ่งดิ้นมันยิ่งงับ จนผลสุดท้ายเขาเองที่แทบเป็นลมเพราะเสียเลือด กว่าจะตามคนมาช่วยกันแยกเขาเอาจากไอ้หมานั่นได้ เขาบาดเจ็บนิ้วโป้งของเขาหลุดหายตามหาไม่เจอ คาดว่าน่าจะหลุดไปในท้องไอ้หมาตัวนั้น

 

“อย่าให้กูหายนะมึง กูจะไปผ่าท้องมึงเป็นตัวแรก”

เขาอาฆาตเข่นเขี้ยวในใจ โดยไม่รู้สึกว่าเขาจะไม่มีโอกาสหายอีกแล้ว เพราะนอกจากการเจ็บตัวของเขาที่เกิดจากหมาทำให้แขนข้างซ้ายของเขามีบาดแผลฉกรรจ์ที่ยังอุ่นใจว่ามันไกลหัวใจ และไม่นานมันก็น่าจะหายเป็นปกติ แตกต่างกันตรงเขาสิที่ไม่ปกติ เพราะว่าบาดแผลที่ถูกหมากัดนั้นมันควรจะหายไปแล้ว แต่แผลของเขานอกจากจะไม่หายแล้วมันยังอักเสบอย่างรุนแรงเสียอีก มันทำให้เขาเจ็บปวดและทรมานอย่างมาก พ่อกับแม่ก็ร้อนใจไปปรึกษาหมอแต่ว่าคำตอบที่ได้มาทำเอาคนเป็นพ่อแม่ร้องไห้อย่างอดไม่อยู่

 

“บาดแผลของลูกชายคุณ ปรากฏว่าเนื้อเยื่อตรงปากแผลนั้นเป็นเนื้อเยื่อตายที่ทำให้แผลไม่หาย”

คุณหมอที่ดูแลอาการของเขาบอก

“แล้วจะทำยังไงดีคะ อยากให้แผลของลูกหายเร็วๆ ไม่อยากให้เขาเจ็บ”

แม่ของกรดถามทั้งน้ำตาด้วยความสงสารลูก

 

“คืออย่างนี้ครับ ตามหลักแล้วเราต้องตัดเนื้อเยื่อที่มันตายออกเพื่อให้เกิดรอยใหม่ และจะหายเมื่อบาดแผลสมานกัน แต่ในกรณีของลูกคุณผิดแผกไปจากนั้น นอกจากเนื้อเยื่อแล้ว กระดูกของลูกคุณก็เกิดอาการเดียวกัน ดังนั้นเรามีวิธีเดียวที่จะทำได้นั่นคือ ตัดมือของลูกคุณออกเพื่อจะให้เนื้อเยื่อสมานกัน”

สิ้นคำบอกเล่าของนายแพทย์ผู้นั้น ร่างของคุณทิพย์มารดาของกรดก็ล้มทั้งยืน เพราะว่ามันไม่ใช่แค่นั้นอาการของกรดไม่ได้จบแค่นั้น มันยังมีสิ่งที่ทำให้เขาทรมานอีก เพราะนอกจากจะเกิดเนื้อร้ายตรงบาดแผลของเขาแล้ว ตรงแขนข้างขวาก็เริ่มมีอาการเดียวกันจนต้องถูกตัดมาอีกและขาก็เช่นกัน

 

สามปีผ่านไป กรดกลายเป็นคนที่แขนขาด้วนไปอย่างไม่น่าเชื่อ เขาเดินไม่ได้ เวลาไปไหนมาไหนต้องใช้รถเข็น ทว่าที่ร้ายกว่านั้นเวลาที่เขาอยู่ลำพังเขาต้องใช้ขาแขวนให้เหลือของเขากระดึ๊บ กระดึ๊บไปไม่ต่างอะไรจากพวกสัตว์ที่เขาตัดแขนตัดขามันไว้เลย ทุกคืนเขาจะร้องไห้คร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ตอนหลับก็จะเห็นภาพที่เขาตัดขาแมว หมาและปล่อยให้มันคลานไปช่างไม่ต่างกับเขาในตอนนี้ ที่ได้รับความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสอย่างนี้

 

“แม่ครับแม่ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง”

ที่สุดเมื่อเขาเก็บความทุกข์ทรมานไว้เพียงคนเดียวไม่ไหว และเขาก็ได้เล่าความเลวร้ายที่เขาปกปิดเอาไว้ให้มารดาของเขาฟัง และเตรียมรับคำด่าทอสมน้ำหน้ามากมายที่เขาควรจะได้รับ ทว่าเขากลับได้รับเพียงคำปลอบใจ

“ไม่เป็นไรนะลูก เราผิดไปแล้ว สำนึกแล้วทำบุญให้เขา อย่างน้อยลูกของแม่จะได้ไม่ทรมาน”

 

มารดาของเขาบอก เมื่อรับรู้แล้วว่าสาเหตุแห่งกรรมอันไม่ปกติธรรมดานั้นมาจากไหน นางก็เริ่มพาลูกชายไปทำบุญและขอขมากรรมเท่าที่จะทำได้ ทุกวันนี้กรดยังคงมีชีวิตอยู่ เขาย้ายออกจากกรุงเทพไปอยู่บ้านพักชายทะเล อาจเป็นเพราะเขาทำบุญขอขมากรรมอย่างตั้งใจก็เป็นได้ที่ทำให้เขานั้นมีอาการดีขึ้น จากที่ต้องถูกตัดแขนไปแล้ว 15 ครั้ง ตัดขาไปกว่า 10 ครั้ง จากการผ่าตัดทุกอย่างก็หยุดหมด บาดแผลสมานตัวได้อย่างดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เจ็บปวด เพราะแขนขาของเขานั้นยังมีสภาพเดิมอยู่ ไม่ได้งอกขึ้นมาแต่อย่างใด

 

แต่สิ่งหนึ่งที่งอกเพิ่มเข้ามาในใจของเขานั่นก็คือ เขารับรู้แล้วว่า สิ่งที่เขาทำลงไปทุกอย่างมันจะต้องย้อนกลับมาหาเขาอย่างแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว และเขาเชื่อมั่นแล้วว่า บนโลกใบใหญ่บูดๆ เบี้ยวๆ ใบนี้ สิ่งที่เรียกว่าเวรกรรมยังมีอยู่จริง

 

ที่มาและการอ้างอิง

กฏแห่งกรรม เรื่อง แยกชิ้นส่วน  โดย  นวนที