วันอาทิตย์, 6 ตุลาคม 2567

เรื่องเล่าจากหลวงพ่อ ทำบุญมามากแต่เพราะอะไรตายไปถึงเป็นเปรต

ชื่อว่าท่านสาธุชนทั้งหลายคงเคยพบเห็น รู้จักผู้ที่มีใจบุญ ชอบสร้างกุศลความดีด้วยการทำบุญทำทานอย่างมากมายมาแล้ว ท่านผู้มีใจบุญเช่นนี้มีสิทธิ์ศรัทธาอย่างแท้จริงที่จะทำบุญ ทะนุบำรุงพระสงฆ์และพระศาสนา อันใดที่เป็นงานบุญแล้วท่านยินดีเข้าเป็นส่วนร่วมด้วยอย่างจริงจังจริงใจ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ หรือทอดกฐิน ทอดผ้าป่า จะต้องมีท่านร่วมบริจาคร่วมแรงร่วมใจด้วยเสมอ หรือแม้แต่การถือศีลฟังธรรมก็จะปฏิบัติอย่างต่อเนื่องไม่ได้บกพร่องขาดตอน

 

 

เมื่อมองเห็น รับรู้ว่าท่านผู้ใจบุญได้ประกอบบุญกุศลถึงขนาดนี้แล้วทุกคนย่อมมีความคิดเห็นไปในทางเดียวกันคือ ท่านผู้มีใจบุญผู้นั้น หากถึงวาระหมดอายุขัยตายไปเมื่อใด จิตวิญญาณของท่านคงไปสู่สุคติ ไปสถิตอยู่ ณ ภพภูมิอันเปี่ยมล้นด้วยความสุขบริบูรณ์ หรือที่เรียกว่าภพสวรรค์เป็นที่แน่นอน

 

ความคิดเห็นซึ่งประเมินความเป็นไปได้ดังกล่าวควรจะเป็นไปตามนั้นไม่ผิดพลาด แต่ความคิดเห็นที่ว่านี้ยังไม่ใช่เป็นข้อสรุปลงตัวเสียทีเดียว โดยจะไม่มีอะไรมาเป็นตัวแปรให้เบี่ยงเบนไปจากที่คาดการณ์ไว้เอาเสียเลย เพราะท่านผู้มีใจบุญคนนั้น บางคนเมื่อตายไปแล้วอาจไปเกิดในภพภูมิแห่งทุคติก็ได้ ไปเกิดในอัตภาพที่เต็มเปี่ยมด้วยความทุกข์ทรมานก็ได้อีก

 

เหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากเราพบเห็น รับรู้แต่เพียงการกระทำภายนอก ส่วนภายในคือการกระทำของจิตใจเราไม่รู้ไม่เห็น อุปมาดุจเห็นเปลือกผิวที่ห่อหุ้มต้นไม้อยู่ ก็ดูสดใสงดงามดี แต่ไม่สามารถเห็นแก่ในกลางลำต้นได้ว่ากำลังผุพัง หรือถูกมด ปลวกชอนไชกัดกินไปมากน้อยเพียงไร

 

เรื่องเล่าจากหลวงพ่อ เรื่องนี้ คือเรื่องของท่านผู้ใจบุญคนหนึ่งซึ่งประกอบกรรมดีทางบุญกุศลเอาไว้มากมาย หลังจากตายไปแล้วควรจะไปอุบัติในภพแห่งสวรรค์ กลับไปผุดเกิดเป็นเปรต แล้วเข้าสิงคนอื่นให้วุ่นวายไปหมด เรื่องราวมีที่มาโดยพิสดารดังนี้

 

มีท่านผู้ใจบุญท่านหนึ่ง ขออนุญาตเรียกท่านว่า “คุณยาย” คุณยายมีจิตใจนอบน้อม มาทางบุญกุศลตั้งแต่ยังสาว กล่าวคือชอบทำบุญทำทานแก่พระภิกษุสงฆ์มิได้ขาด ต่างจากมีครอบครัวแล้วก็ยังปฏิบัติเช่นนี้อยู่เป็นเนืองนิตย์ คุณยายมีบุตรธิดารวมกัน 5 คน และมีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยระดับเศรษฐีผู้หนึ่ง ตลอดชีวิตของคุณยายที่ผ่านมา ท่านสร้างบุญกุศลเอาไว้มากมายทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องบริจาคทานสร้างโบสถ์สร้างวิหาร ศาลาการเปรียญ ตลอดจนกฐิน ผ้าป่า ท่านทำมาไม่รู้ว่าเท่าไหร่ เมื่อถึงวันธรรมสวนะ ก็จะไปรักษาศีลอุโบสถวัดอย่างเคร่งครัด

 

แต่คุณยายไม่เคยเจริญกุศลภาวนา ไม่สนใจเจริญกรรมฐาน ไม่ฝึกชำระกิเลสเอาเสียเลย ดังนั้นเมื่อจิตกระทบเข้ากับอารมณ์ จึงไม่สามารถแยกเหตุแยกผล เพื่อให้รู้เห็นเท่าทันตามความเป็นจริงได้ คุณยายมีอายุยืนยาวถึง 80 กว่าปี ท่านได้จัดการแบ่งสมบัติให้แก่ลูกทุกคนโดยเท่าเทียมกัน และไปอยู่กับลูกคนเล็กซึ่งมีสามีเป็นเศรษฐีมีกิจการทำโรงสี โรงน้ำแข็งและมีอาคารร้านค้า กล่าวได้ว่าฐานะสุขสบายอย่างเหลือเฟือทีเดียว

 

ต่อมา อาเสี่ยสามีของลูกสาวคนเล็กเกิดไปติดการพนัน และมัวเมาต่อเกมได้ – เสียชนิดไม่ลืมหูลืมตา ไม่ยอมรับฟังคำตักเตือนแนะนำจากผู้ใดทั้งสิ้น เงินทองจึงถูกละลายไปในวงพนันอย่างรวดเร็ว หมดเงินสดก็นำเอาที่ดินไร่นาไปขาย ได้เงินมาเท่าไหร่ก็หมดไปเพราะการพนันอีก โรงสีโรงน้ำแข็งและร้านค้าต้องเอาไปจำนองขายฝาก และอาเสี่ยก็เอาเงินไปผลาญไม่เหลือหรอ เจ้าหนี้ยื่นคำขาดให้หาเงินมาไถ่ถอน ไม่อย่างนั้นจะฟ้องล้มละลาย

 

ลูกสาวคนเล็กร้องไห้ฟูมฟายมาขอให้คุณยายช่วย คุณยายเองมีเงินส่วนตัวหรือเก็บอยู่ไม่มากนัก จึงจะให้เงินไปก็ใช้หนี้ได้ไม่หมด คุณยายจึงเดินทางไปหาลูกชายคนโตซึ่งไปประกอบกิจการค้าอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ขอสมบัติที่ยกให้กลับคืนมาเพื่อจะช่วยเหลือลูกสาวคนเล็ก ลูกชายคนโตและลูกสะใภ้ก็ยินดีคืนให้ เมื่อกลับมา คุณยายก็มอบให้ลูกสาวคนเล็กไป ลูกสาวคนเล็กก็ให้สามีไปจนหมดเช่นกัน โดยหวังว่าเงินก้อนใหญ่ก็สุดท้ายนี้สามีคงนำไปฟื้นฟูฐานะของครอบครัวให้ดีขึ้นมาใหม่ได้

 

อาเสี่ยควรจะได้สติ สำนึกถึงความผิดชอบชั่วดีขึ้นมาบ้างเพราะตัวเองถลำลงไปในอบายมุขจนสิ้นเนื้อประดาตัว กลับหลงบ้าการพนันไม่ยอมเลิก ซ้ำยังโง่เขาไปเชื่อหมอดูวัดหนึ่งว่า เล่นการพนันแล้วจะรวยมหาศาล เดือนหน้าจะรวยแน่ๆ อาเสี่ยจึงเอาเงินที่จะไปใช้หนี้ลงเล่นการพนันอีก เงินก้อนสุดท้ายเลยหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ

 

ความชั่วร้ายของผีพนันมันน่ากลัว น่าสยดสยองยิ่งกว่าผีตนใดมาหลอกหลอนเสียอีก ถูกมันหลอกจนกระทั่งไม่เหลือสติสัมปชัญญะ ไม่รู้ตัวว่าได้กระทำอะไรลงไป ไม่มีสำนึกระลึกถึงว่าสิ่งใดดีสิ่งใดชั่ว ทั้งที่ประจักษ์อย่างชัดเจนแล้วว่าการพนันมันทำลายทรัพย์สินเงินทองวินาศวอดวายไม่มีเหลือ ก็ยังหาได้สำนึกแม้แต่น้อย อาเสี่ยผู้มืดบอดไม่เพียงแต่จะทำลายตัวเองและทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่ตนสร้างสมไว้ให้ด้วยความยากลำบาก ยังทำลายครอบครัวตัวเองจนแหลกลาญไปด้วย

 

คุณยายผู้ซึ่งรักลูกสาวคนเล็กมาก จึงกลับไปขอสมบัติคืนจากลูกชายคนโตเพื่อนำมาให้ลูกเขยทำทุนกู้สถานการณ์ และลูกเขยกลับเอาไปละลายในบ่อนการพนันจนราบเรียบก็บังเกิดความโกรธสุดประมาณ ข้าวปลาอาหารกลืนไม่ลงคอ เอาแต่เสียใจซ้ำซาก ในที่สุดก็ถึงแก่กรรมด้วยหัวใจวาย คุณยายพ้นทุกข์ทรมานใจในโลกมนุษย์ไปแล้ว แต่กลับไปเสวยทุกข์ในภพภูมิอื่นอีก เนื่องจากจิตของตายหมกมุ่นครุ่นคิดเสียดายอยู่แต่เรื่องทรัพย์สมบัติที่ลูกเขยคนเล็กได้เอาไปผลาญจนมลายด้วยการพนัน

 

ก่อนคุณยายจะถึงแก่กรรม หลวงพ่อจรัญทราบข่าวว่าคุณยายใจบุญเจ็บไข้ผ่ายผอมมานานนับเดือนเนื่องจากความทุกข์ทางใจ ท่านจึงเมตตาไปเยี่ยมเยือน สอบถามอาการเวทนาทั้งหลาย ครั้นได้ทราบถึงสาเหตุแห่งความทุกข์ที่สุมรุมอยู่ หลวงพ่อจรัญก็ได้พูดปลอบใจ และชี้แจงแสดงธรรมให้คุณยายได้ประจักษ์ถึงความไม่เที่ยงในสรรพสิ่งทั้งหลาย จงตัดใจให้ขาดจากโลภะเสียเถิด เพราะมัวแต่คิดเสียดายในสิ่งซึ่งสูญสิ้นไปแล้วเช่นนี้ย่อมหาประโยชน์อันใดมิได้เลย

 

คุณยายเองรับรู้รับฟังและเห็นจริงไปตามนั้น แต่ไม่อาจบังคับใจให้เอาชนะอกุศลที่ยึดครองดวงจิตไว้ได้ หลวงพ่อจรัญแนะนำให้มาปฏิบัติกรรมฐานกับท่านเสียเถิด จะได้เป็นช่องทางให้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ แต่คุณยายกลับไม่ยอมกระทำ อ้างถึงอุปสรรคความแก่เฒ่ามาเป็นข้อปฏิเสธ เมื่อเป็นเช่นนี้หลวงพ่อมิรู้จะหาทางช่วยได้อย่างไร

 

หลวงพ่อจรัญ เมตตาไปเยี่ยมถึง 2 ครั้ง ก็ชวนให้คุณยายมาปฏิบัติธรรมกรรมฐานกับท่านทุกครั้ง ทว่าไม่เกิดผลอะไร ดังนั้นท่านก็จำต้องปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมเท่านั้น หลังจากคุณยายเสียชีวิตไปนานพอสมควร หลวงพ่อจรัญมีกิจธุระต้องเดินทางไปที่บางมะยม อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ใกล้บ้านกำนันไข่ อยู่ดีๆ เกิดมีผีเข้าเด็กสาวอายุ 16 คนหนึ่ง ร้องหวีดกรีดเสียงอาละวาดที่บ้านใกล้ๆ บ้านซึ่งหลวงพ่อจรัญมีกิจนิมนต์ พ่อแม่เด็กสาวจึงพากันมานิมนต์ หลวงพ่อก็ไปดูให้

 

พอพบหน้าหลวงพ่อจรัญ เด็กสาวผีเข้าผู้นั้นก็แสดงกิริยาวาจาว่ารู้จักท่านเป็นอย่างดี ทั้งๆ ที่ไม่เคยพบปะเห็นหน้ามาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว เมื่อสอบถามทวนความดูจึงรู้ว่าเป็นคุณยายใจบุญที่ตายไปเพราะลูกเขยคนเล็กผลาญสมบัติจนหมดตัว ตายไปแล้วแทนที่จะได้เสวยสุขในภพภูมิของสวรรค์ กลับมาเกิดในทุคติ เป็นเปรต อดๆ อยากๆ ได้รับความทุกข์ทรมานไม่รู้จบอย่างน่าสังเวช

 

สำหรับเรื่องนี้ หลวงพ่อจรัญ  ฐิตธัมโม ได้แสดงไว้ในการบรรยายธรรมเรื่อง “ความสุข” เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2536 โดยมี อาจารย์พรทิพย์  ชูศักดิ์ วค.นครสวรรค์ เป็นผู้ถอดความจากเทป

 

เพื่อเน้นย้ำให้ท่านผู้อ่านได้ตระหนักถึงสัจจะ – ความจริงจากผลแห่งอกุศลกรรม รวมทั้งการประพฤติปฏิบัติตนผิดเพี้ยนเบี่ยงเบนไปจากแนวทางที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนา จึงนมัสการขออนุญาตนำถ้อยคําที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ  ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน ได้กล่าวไว้ โดยเฉพาะในเรื่องนี้มาแสดงซ้ำอีกครั้งดังมีข้อความต่อไปนี้

 

อาตมาไปธุระที่บางมะยม อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ใกล้บ้านกำนันไข่ มีเด็กสาวอายุ 16 ปี ร้องหวีดหวาดขึ้นมาว่าผีเข้า เด็กคนนี้ไม่รู้ประวัติคุณยาย และไม่รู้จักอาตมาด้วย อาตมาไปดู ถามไปถามมาก็รู้ว่าคุณยายนี่เอง มาบอกว่าอดอยากเหลือเกิน และมาบอกความลับที่ตายไปเพราะเสียใจที่ลูกเขยเล่นการพนันจนสมบัติหมด

 

เคยถวายหมากพระเวลาทอดกฐินทอดผ้าป่าทุกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้กินหมาก ไปเป็นเปรตเที่ยวขอเขากินตามบ้าน บุญที่ทำนั้นจะได้ต่อภายหลัง ต้องใช้หนี้กรรมหนักคืออำนาจโลภะนี้ก่อน อาตมาเข้าไปถามพ่อแม่เด็กว่ารู้จักตระกูลนี้ไหม ก็ไม่รู้จัก แต่ทำไมบอกได้หมดว่าลูกชายคนโตชื่ออะไร ลูกสาวคนเล็กชื่ออะไร เด็กมันจะรู้ได้อย่างไร ขอฝากญาติโยมไปคิดโดยทั่วหน้ากัน

 

บุญกรรมจากการกระทำของคุณยาย รักษาอุโบสถนี่ดิ่งเลย ทั้งวันไม่คุยกับใคร มานั่งเฝ้าศาลา พระเทศน์ก็ติดกัณฑ์เทศน์ไม่พัก แต่ไม่รู้ว่าบุญคือความสุขจากการชำระใจ คุณยายสวดมนต์ก็เก่ง แต่ไม่ปฏิบัติธรรม แล้วบุญที่ทำจะได้หรือ ตอบว่าได้ แต่บาปมาก่อน เพราะอำนาจโลภะจึงไปเป็นเปรตก่อน พอหมดเวรกรรมจากเปรตจึงจะไปสวรรค์ต่อภายหลัง

 

ตอนที่คุณยายป่วยด้วยความเสียใจ อดข้าวมาเดือนเศษอาตมาไปเยี่ยม 2 ครั้ง ชวนมานั่งกรรมฐาน คุณยายบอกว่านั่งไม่ได้ ไม่สบายใจเสียแล้ว แก่แล้ว เมื่อก่อนนี้ ตอนที่อินทรีย์ยังดีๆ ก็ไม่สนใจกรรมฐานเลย สนใจแต่ว่าใครจะมาบอกบุญ ไม่เคยขัดเลย ต้องทำทุกวัด จึงหาความสุขไม่ได้ตายไปเป็นเปรต เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดแต่ประการใด ยังทรมานอยู่ด้วยอำนาจของโลภะ เรื่องนี้อาตมาประสบมาด้วยตัวเอง

 

สรุปใจความว่า บุญแปลว่าความสุข ความสุขได้จากไหน ไม่ใช่มาตั้งสังฆทานนะ ไปอย่างนี้เรียกว่าทำทาน บริจาคทานได้ แต่ศีลไม่มี ภาวนาไม่มี ไม่ครบนะ ได้แต่ทานธรรมดา ไปสร้างศาลากี่ร้อยหลัง ไปทอดกฐินกี่ร้อยวัดก็ได้ แต่จะไม่พบความสุขที่แท้จริง มีแต่ความสุขเจือด้วยความทุกข์ เหมือนคุณยายผู้นั้น

 

ที่โยมได้มาเจริญกรรมฐานในวันนี้ โยมจะได้พบพระที่ใจประเสริฐ พระไม่ใช่นั่งอยู่บนอาสน์สงฆ์ อย่างนี้เรียกพระสงฆ์องค์เจ้า แต่เอาพระมาไว้ในใจ พัฒนาจิตให้ถึงพระ โยมใจประเสริฐ เมื่อใดล้ำเลิศ เมื่อนั้นจิตสงบ ใจสบาย จึงจะมีความสุข เป็นความสุขที่ไม่เจือปนด้วยความทุกข์ เพราะจิตใจไม่เศร้าหมอง ไม่สกปรกลามกอีกต่อไป มันมีความหมายอย่างนี้

 

คนที่ฆ่าคนตาย ทำบุญให้ก็ไม่ถึง ต้องนั่งกรรมฐานแผ่เมตตาให้อย่างเดียวส่วนคนที่เวรกรรมหนัก ห้ามเยี่ยมห้ามประกัน ฝากของไปให้กินก็ไม่ได้รับ ถ้ามีลูกหรือญาติฆ่าตัวตาย ต้องเจริญพระกรรมฐานอุทิศกุศลให้เท่านั้นจึงจะได้รับผล

 

ที่มาและการอ้างอิง

วาระสุดท้ายของกรรมชั่ว  โดย  นที  ลานโพธิ์