วันเสาร์, 27 กรกฎาคม 2567

9 ข้อควรระวังกับโรคออฟฟิศซินโดรม Ep.93

หลายต่อหลายครั้ง อาการเจ็บป่วยในชีวิตของเรามาจากการทำงาน เพราะในชีวิตเรามีช่วงเวลาที่อยู่ในที่ทำงานมากและเป็นเวลานาน โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในออฟฟิศมาเกือบทั้งชีวิต

 

 

ดังนั้น ที่ทำงานจึงมีส่วนได้ส่วนเสียในสุขภาพของคนเรามาก โดยเฉพาะท่านที่ทำงานแบบนั่งโต๊ะ ซึ่งเป็นลักษณะของการทำงานของคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ เราจึงต้องคอยสังเกตอาการเจ็บป่วยจากที่ทำงานเอาไว้ เพราะจะเป็นอาการปวดแบบพิเศษที่ต่างจากโรคอื่นๆทั่วไป เพราะได้มาจากการใช้ชีวิตในที่ทำงานโดยตรง

 

เรื่องการทำงานแล้วปวดขึ้นมา ถือเป็นเรื่องที่พบได้ค่อนข้างบ่อย เช่น ในประเทศญี่ปุ่นจะเห็นชัดว่ามีคนที่ป่วยจากโรคบ้างานจนถึงขั้นเสียชีวิตมาแล้ว ประเภทที่นั่งทำงานแล้วอยู่ๆก็ฟุบไปไม่ตื่นอีกเลย เรียกว่า “พลีชีพเพื่องาน” โดยแท้ ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากตายคาที่ทำงาน เพราะเราทุกคนยังมีพลังในชีวิตอีกมากที่พร้อมจะสร้างสรรค์ผลงานดีๆในอนาคต ทางแก้ก็คือ อย่าเพิ่งหักโหมใช้ร่างกายจนเกินตัว และถึงแม้ว่าโรคบ้างานจะไม่น่ากลัวถึงแก่ชีวิตเสมอไป แต่ก็มีสิทธิ์ทำให้มีอาการป่วยจากการทำงานได้ หรือที่เราเรียกกันว่าออฟฟิศซินโดรมที่ทำให้เกิดอาการปวดและป่วยด้วยโรคต่างๆตามมา

 

อาการต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น อาการปวดตา ปวดบ่า ปวดสะบักไหล่ และปวดหัว ก็เป็นส่วนหนึ่งของโรคออฟฟิศซินโดรมด้วยเช่นกัน หรือแม้แต่อาการป่วยทางใจ อารมณ์หงุดหงิด นอนไม่หลับ เครียด ไม่มีสมาธิ จนถึงควบคุมอารมณ์ไม่อยู่แล้วปล่อยของ ก็เป็นส่วนหนึ่งจากเรื่องป่วยด้วยงานเช่นกัน

 

การทำงานโดยทั่วไป จะมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่ควรเลี่ยงอยู่ 2 ข้อ ก็คือ “การนอนดึก” และ “การกินดึก” ทั้งสองเรื่องนี้ต้องฝึกให้ดีจนเป็นนิสัย ถึงจะมีชีวิตที่ปลอดภัย แต่อย่างไรก็ดีหลายๆท่านมีรูปแบบการทำงานชวนให้กลับมากินดึกและนอนดึกอยู่เรื่อยๆ เช่น อาชีพที่ต้องทำ OT ต้องอยู่เวร ต้องทำงานดึก เพื่อส่งงานให้ได้ตามกำหนดเวลา หรือแม้แต่ดารานักแสดงรวมถึงคนในกองถ่าย ที่ต้องเวียนว่ายมีวัฏจักรชีวิตที่สลับกลับข้างกับคนอื่น จนบางทีเจ้าตัวยังสับสนวันเวลาเองด้วยก็มี

 

 

สัญญาณเตือนภัยและ 9 อิริยาบถที่ควรงดในที่ทำงาน

อาการปวดตามที่สำคัญ เช่น ปวดหัว ปวดตา ถือว่าเป็นสัญญาณสำคัญของโรคออฟฟิศซินโดรมที่เป็นโรคยอดฮิตของมนุษย์ในที่ทำงาน โดยเฉพาะงานที่ต้องนั่งอยู่หรือทำงานในอิริยาบถซ้ำ ๆ เช่น อยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ทำให้เสี่ยงต่ออาการป่วยได้มากขึ้น ดังนั้นจึงมีเทคนิคง่ายๆที่ช่วยได้ คือการเลี่ยงอิริยาบถบางอย่างที่ทำให้เสี่ยง ซึ่งมีอยู่ 9 ท่า ที่บางท่านอาจจะทำเพลินๆในที่ทำงานโดยไม่รู้ตัวได้ ดังต่อไปนี้

 

1.สะบัดคอ

อาการหนึ่งของโรคออฟฟิศทำพิษคือ ปวดต้นคอ ปวดบ่า บางท่านก็ไปให้หมอนวดเพราะคิดว่าสะบักจม นวดแล้วก็หายระบมไปเป็นพักๆ แต่แท้ที่จริงแล้ว มันเกิดจากการทำงาน การแก้ปัญหาด้วยการนวดสามารถทำได้ แต่การสะบัดคอบ่อยๆ จนเริ่มมีเสียงคอลั่นต้องระวัง เพราะตรงต้นคอมีไขสันหลังที่บอบบาง เป็นชุมทางเส้นประสาทที่ละเอียดอ่อนมาก

 

2.หักนิ้ว

บางครั้งความเครียดก็ทำให้เราเผลอหักนิ้วโดยไม่รู้ตัว ซึ่งการหักนิ้วในแต่ละครั้งทำให้เกิดข้อเสื่อมไปทีละน้อยค่อยๆสะสม ซึ่งเมื่อบ่อยเข้าก็อาจทำให้ข้อเสื่อมได้เร็วขึ้น เพราะไปทำลายกระดูกอ่อนซึ่งเป็นตัวรับแรงกระแทก โดยปกติข้อนิ้วจะคืนรูปกลับมาหักใหม่ได้ในราว ๆ 20 นาที จากกลไกของแก๊สในข้อ แล้วลองคิดดูว่าถ้าเผลอทำแบบไม่รู้ตัว ซึ่งในวันหนึ่งเรานั่งทำงาน 8 ชั่วโมง/สัปดาห์ ก็อาจจะมากกว่า 100 ครั้งก็เป็นได้

 

3.ม้วนผมเล่นและเสยผม

บ้านท่านมือหนึ่งทำงาน มือหนึ่งก็ม้วนผมไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งการม้วนที่ว่านี้ คือ ใช้นิ้วชี้หรือนิ้วมือต่างๆม้วนปอยผมเล่นไปมา เมื่อม้วนบ่อยเข้าก็มีผลให้รากผมเริ่มอ่อนจนหลุดร่วงออกมาเป็นกระจุก ซึ่งมีผลทำให้กลายเป็นคนผมบาง หรือบางช่วงของหนังศีรษะเว้าแหว่งได้

 

4.นั่งพุงยื่น

การนั่งหลังค่อมจมจ่อมอยู่กับเก้าอี้นานเกิน 6 ชั่วโมง ส่งผลให้เกิดอาการออฟฟิศซินโดรมได้ ท่านั่งแบบห่อตัวหลังค่อมหรือนั่งเอนหลังแทบเลื้อย อาจจะสบายแต่ส่งผลร้ายต่อกระดูกสันหลังและกล้ามเนื้ออย่างมหาศาล เรียกง่ายๆว่ากล้ามเนื้อแต่ละมัดของท่าน จะต้องทำงานหนักสักเพียงใด เพื่อรับโครงร่างที่คดงอของกระดูกสันหลัง

 

5.นั่งครึ่งก้น

เป็นท่านั่งที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพอีกหนึ่งท่า ซึ่งท่านี้ทำให้กล้ามเนื้อหลังและไหล่ทำงานหนักโดยไม่จำเป็น ยิ่งกับท่านที่มีต้นทุนหน้าท้องอวบหนาจะพาให้ปวดหลังได้ง่าย เพราะกล้ามเนื้อหลังค่อนข้างละเอียดอ่อนการนั่งแบบประหยัดก้น ทำให้ต้องหดเกร็งตัวเพื่อประคองท่านไว้เหมือนกับนักกายกรรมที่เลี้ยงตัวบนจุดเล็กๆ ลองปรับท่านั่งดูสักนิดและจะสบายขึ้นในระยะยาว

 

6.ยืนในร้องเท้าส้นสูง

รองเท้าที่ใส่สวยช่วยเสริมบุคลิกภาพ แต่ดูไม่ต่างไปจากนักกายกรรมหรือนักระบำปลายเท้า ซึ่งเกร็งกล้ามเนื้อเพื่อเลี้ยงตัวอยู่บนจุดเล็กๆ ที่ต้องรับน้ำหนักร่างกายทั้งตัว แถมด้วยบางคนยังต้องสะพายกระเป๋าอีกสองมือ เข้าใจสาวๆหลายท่านที่ต้องจำใจทำ เพราะบางครั้งก็เป็นกฎระเบียบที่ต้องทำ แต่มีวิธีทำให้เบาลงได้ก็คือ เลือกส้นสูงที่สูงไม่เกิน 1 นิ้วครึ่ง ซึ่งใกล้เคียงกับความยาวนิ้วหัวแม่มือจะทำให้ท่านยืนได้สบายมากขึ้น

 

7.ไขว้ขาในลักษณะต่าง ๆ

ท่าไขว้ขา นั่งไขวห้าง หรือแม้แต่การยืนโดยลงน้ำหนักไปที่ขาข้างใดข้างหนึ่ง  พอนานเข้าก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ปวดไม่สบายตัวได้ หลายท่านปวดจนลามกลายเป็นอาการปวดเรื้อรังจากออฟฟิศซินโดรม ซึ่งการทำท่าเหล่านี้มีผลต่อโครงสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อ ทำให้มันต้องทำงานหนักแล้วส่งผลถึงเส้นประสาทได้ ในบางรายถ้าเป็นมากจะมีอาการชาร่วมด้วย

 

8.นั่งสู้แสงสะท้อน

ท่านที่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ และท่านที่นั่งอยู่ใกล้กระจกที่มีแสงสะท้อนให้รู้สึกได้ที่ตาตลอดเวลา ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพดวงตา เพราะแสงสะท้อนที่ว่านี้มีส่วนทำให้เกิดอาการตาล้า หรืออาการปวดรอบกระบอกตา ทำให้รำคาญได้ เพราะทำให้ต้องเพ่งโดยไม่รู้ตัว ทำให้วงกล้ามเนื้อที่อยู่รอบดวงตาต้องเกร็งตัวและทำงานหนัก เกิดอาการล้าตาจนบางทีพาให้ปวดศีรษะได้ ซึ่งเรื่องนี้แก้ได้ง่ายๆโดยการนั่งหลบแสงสะท้อนและหลับตาพักสายตาเป็นระยะ

 

9.เอื้อมหยิบของโดยไม่หันหลัง

ท่านี้ทำให้หลายท่านเกิดอาการปวดแบบไม่ทันตั้งตัวได้ที่หัวไหล่และบ่า ปรากฏการณ์นี้เกิดได้บ่อยเวลารีบมากจนไม่อยากละสายตาไปจากงานตรงหน้า หรือช่วงที่ไม่อยากขยับ เลยขอโยกตัวไปเอื้อมหยิบสิ่งของเอาง่ายๆ แต่อาจเกิดอาการเจ็บแปลบขึ้นมาปุ๊บปั๊บได้ แต่เป็นอาการที่เกิดจากบาดเจ็บกล้ามเนื้อและเอ็นที่แสนละเอียดอ่อนต่อท่าเหยียดจนสุดปลายแขน

 

9 ข้อนี้พนักงานออฟฟิศทุกท่านควรนำไปปฏิบัติเป็นประจำ ถ้าเลี่ยงได้ก็จะช่วยป้องกันความเสี่ยงของโรคได้ และจะทำให้คุณสนุกกับการทำงานไปในระยะยาวได้แน่นอน 

 

แต่ก็มีคำถามว่า คนที่ทำงานด้วยความสนุกและมีใจในการทำงานเกินร้อย จะเกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งเป็นคำถามที่ดี เพราะหลายท่านติดงานเพราะมีความรักในงาน รู้สึกสนุกและมีความสุขมากด้วย ความรู้สึกนี้อยากให้เกิดกับทุกท่าน เพราะมันจะช่วยให้ท่านทำงานได้อย่างมีความสุข แต่อย่างไรก็ตามงานที่สนุกก็ทำให้เกิดป่วยเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมได้เหมือนกัน เพราะสิ่งสำคัญอยู่ที่ร่างกายคนเรามีข้อจำกัด แม้ว่าใจจะสู้กับงานมากเพียงใดก็ตาม ร่างกายของเราบางทีก็ล้าจนร้องออกมาเป็นสัญญาณป่วย

 

ดังนั้น เราจึงควรถนอมกายด้วยการทำงานอย่างพอเหมาะพอควรจะดีกว่า เมื่อถึงเวลากลับบ้านก็ใช้ชีวิตอยู่กับบ้านอย่างจริงๆ ส่วนสิ่งที่เป็นงานก็ทิ้งไว้ในมือถือแท็บเล็ตหรือบนโต๊ะที่ทำงานจะทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น

 

source : นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช