วันศุกร์, 26 เมษายน 2567

เกร็ดความรู้เรื่องสุขภาพ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพดวงตา Ep.12

เมื่อโลกของเทคโนโลยีก้าวไปไม่หยุดนิ่ง และเข้ามามีบทบาทในชีวิต Lifestyle ของเราจึงเปลี่ยนแปลงไป

ปัจจุบัน อุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ ทั้งคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือแม้กระทั่งสมาร์ทโฟน ก็กลายเป็นอุปกรณ์จำเป็นที่ขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเรียน ทำงาน สังคม ความบันเทิง หรือแม้กระทั่งการซื้อขายสินค้าและการใช้บริการต่าง ๆ

แต่หลายคนมักลืมไปว่า การใช้สายตา จ้องมองหน้าจอจากอุปกรณ์เหล่านี้เป็นเวลานาน จะส่งผลเสียต่อดวงตาโดยไม่รู้ตัว ว่าการจ้องคอมหรือมือถือนาน ๆ ทำให้เกิดอนุมูลอิสระสะสมที่เซลล์ตา และอาจไปทำลายจอประสาทตา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดจอประสาทตาเสื่อม

ยิ่งถ้าร่างกายได้รับสารอาหารและวิตามินไม่เพียงพอด้วยแล้ว ก็จะยิ่งทำให้สุขภาพดวงตาเสื่อมเร็วขึ้น และยังอาจส่งผลเสียต่อการดำเนินชีวิตประจำวันได้อีกด้วย

กลุ่ม Gen Y มีสุขภาพดวงตาเสื่อมเร็วกว่าปกติ

หลายคนคงเคยมีประสบการณ์ชีวิตเปลี่ยน เมื่อดวงตาทำงานไม่เป็นปกติ มีอาการตาล้า พร่า เบลอ จากการดูหรือจอจ้องคอมพิวเตอร์หรือ Smartphone เป็นระยะเวลานาน ๆ ทำให้เกิดความผิดพลาดในการใช้ชีวิตประจำวันบ้าง ไม่มากก็น้อย

เช่น ทำงานจ้องตัวเลขเป็นล้าน ๆ ตัวในแต่ละวัน สายตาล้า ตาลาย อาจทำให้คีย์ข้อมูลหรือตัวเลขผิดพลาด ส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานได้ หรือจ้องจอเช็คเมล์ทั้งวัน อาจดูวันเวลาผิดพลาด จนผิดนัดกับลูกค้า หรือจ้องจอเล่นมือถือเป็นระยะเวลานาน ส่งไลน์ผิดกรุ๊ปผิดคน อาจทำให้เกิดความบาดหมางใจกันได้ เป็นต้น

ตามสถิติพบว่า พฤติกรรมการติดจอ นอกจากจะเพิ่มความเสี่ยงโรคจอประสาทตาเสื่อมแล้ว ยังส่งผลให้ดวงตาเกิดอาการ ล้า ตาพร่า หรือตาแห้ง เนื่องจากการเพ่งหน้าจอนาน ๆ ทำให้มีการกระพริบตาลดน้อยลง จากปกติที่ควรจะกระพริบตา 10-15 ครั้งต่อนาที

เป็นที่น่าวิตกว่า จากการสำรวจพบว่ากลุ่ม Gen Y คือคนที่เกิดในช่วงปีพ. ศ. 2524-2543 มีปริมาณการใช้อินเตอร์เน็ตสูงที่สุด เมื่อเทียบกับคนช่วงอายุอื่น ๆ โดยมีการใช้อินเทอร์เน็ตโดยเฉลี่ย 7.6 ชั่วโมงต่อวันเลยทีเดียว

แนะนำ : เกร็ดความรู้สั้น ๆ พร้อมข้อคิด วิธีการสร้างความสุขที่แท้จริง Ep.10
แนะนำ : 6 เกร็ดความรู้ใกล้ตัวน่ารู้ เกี่ยวกับพฤติกรรมที่ทำให้เราดูแก่ก่อนวัย Ep.11
แนะนำ : เกร็ดความรู้เรื่องสุขภาพ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพดวงตา Ep.12

ทำไม? ต้องให้ความสำคัญในการดูแลและถนอมสุขภาพดวงตา

เพื่อป้องกัน ไม่ให้เกิดภาวะจอประสาทตาเสื่อมก่อนวัยอันควร ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำร้ายดวงตา เช่น ทำงานหน้าจอที่มีแสงจ้านานจนเกินไป หากมีอาการ ตาล้า พร่า เบลอ หรือ ตาแห้ง อย่านิ่งนอนใจ อาจจะเป็นสัญญาณเตือนให้เริ่มดูแลดวงตา

ควรเลือกกินอาหาร ที่มีสารอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์ และช่วยบำรุงสายตา โดยเฉพาะผลไม้ที่มีสารพฤกษเคมี เช่น แอนโทไซยานิน ที่พบได้ในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ผักผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูง เช่น ฟักทอง แครอท มะละกอสุก ร่วมไปถึงอาหารที่ให้กรดไขมันโอเมก้า 3 และ 6 เป็นต้น

วิตามินเอ สำคัญต่อดวงตา เป็นวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน

“วิตามินเอ” มีคุณสมบัติโดดเด่น ในเรื่องของการดูแลดวงตาโดยตรง มีส่วนช่วยในกระบวนการมองเห็น และช่วยลดภาวะตาแห้ง ช่วยโรคตามัวในตอนกลางคืน

เพราะหน้าที่ของวิตามินเอ คือ ช่วยสร้างสารที่ใช้ในการมองเห็น หากขาดจะทำให้มองเห็นได้ยากในเวลากลางคืน หรือในที่แสงสว่างน้อย และทำให้เยื่อบุตาแห้ง กระจกตาเป็นแผล ในกรณีที่ร่างกายขาดวิตามินเออย่างรุนแรง อาจทำให้ตาบอดได้

ดังนั้น ร่างกายจึงควรได้รับวิตามินเอในปริมาณ 100% ที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน ซึ่งสำหรับคนไทยโดยประมาณอยู่ที่ 800 mcg Retinol Activity Equivalents (RAE)

ผักผลไม้ที่ให้วิตามินเอ ส่วนใหญ่จะมีสีเหลือง ส้ม แดง และเขียวเข้ม เช่น แครอท ผักบุ้ง เป็นต้น ซึ่งโดยเฉลี่ยปริมาณบริโภคที่เพียงพอสำหรับการได้รับวิตามินเอ 100% ที่ร่างกายต้องการต่อวันจะอยู่ที่ ฟักทอง 300 กรัม ผักบุ้งไทย 400 กรัม มะเขือเทศลูกเล็ก 1 กรัม

ซึ่งจากการใช้ชีวิตประจำวัน ที่เร่งรีบของคนยุคดิจิตอล ทำให้ไม่มีเวลาเลือกกินอาหารที่ครบทุกหมู่ ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินเอไม่เพียงพอ ต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน เราจึงควรหันมาสนใจดูแล เรื่องอาหารเพื่อดวงตา เป็นพิเศษมากขึ้น

ปกป้องดวงตาจากอนุมูลอิสระ ด้วยสารแอนโธไซยานิน

นอกจากผลไม้ที่มีวิตามินเอ ที่มีส่วนช่วยถนอมสายตาแล้ว คนยุคดิจิตอลไม่ควรมองข้ามสารแอนโธไซยานิน ซึ่งจัดเป็นพฤกษ์เคมี ที่มีอยู่ในธรรมชาติ ส่งผลโดยตรงในการปกป้องดวงตา จากอนุมูลอิสระต่าง ๆ

มักจะพบได้ในผลไม้ที่มีสีม่วงและแดง จำพวกผลไม้ตระกูลเบอรี่ เช่น บิลเบอร์รี่น แบลคเคอร์แรนต์ อะซาอิเบอร์รี่ สตอร์เบอร์รี่ เป็นต้น

ด้วยปริมาณของแอนโธไซยานิน จะสัมพันธ์กับสีม่วงแดง ยิ่ง berry มีสีม่วงแดง จนไปถึงน้ำเงินเข้ม ยิ่งแสดงว่ามีปริมาณแอนโธไซยานินอยู่สูง

เพื่อการศึกษาถึงประโยชน์ของแอนโธไซยานินต่อดวงตา ที่มีการตีพิมพ์จากวารสารการวิจัยระดับนานาชาติหลายฉบับพบว่า แอนโธไซยานินในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ช่วยบำรุงดวงตาหลากหลายด้าน ดังต่อไปนี้

ประโยชน์ของสารแอนโธไซยานิน

มีผลช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม

ด้วยการศึกษาของ Jang และคณะ โดยทำการศึกษาในหลอดทดลองพบว่า แอนโธไซยานินที่สกัดมาจากบิลเบอร์รี่ มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ สามารถยับยั้งการออกชิเดชั่นของเซลล์ของจอประสาทตา ที่เกิดจากการกระตุ้นด้วยแสงได้

นอกจากนี้การศึกษาของ Liu Y และคณะที่ทำการศึกษาผลของเซลล์รับแสงของจอประสาทตา retinal pigment epithelium (RPE) เมื่อถูกกระตุ้นด้วยแสง ในช่วงความยาวคลื่น ของอัลตราไวโอเลตในหลอดทดลองพบว่า

สารสกัดจากบลูเบอร์รี่ ช่วยยับยั้งการตายของเซลล์รับแสง ของจอประสาทตา ที่ถูกกระตุ้นด้วยแสงจ้าเป็นเวลานานได้ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า แอนโธไซยานินจากเบอร์รี่ มีผลช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม

แนะนำ : เกร็ดความรู้เรื่องสุขภาพ เกี่ยวกับการกินผักดิบ Ep.13
แนะนำ : 9 เกร็ดความรู้เรื่องสุขภาพ เกี่ยวกับผักผลไม้ที่มีสารสกัดทำให้ผิวขาว Ep.14
แนะนำ : เกร็ดความรู้เรื่องสุขภาพ เกี่ยวกับโรคลมชัก Ep.15

มีผลช่วยลดความเสี่ยงของภาวะต้อกระจก

การที่ตาต้องเจอกับแสงจ้า เป็นสาเหตุทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้น ที่เซลล์ของดวงตา ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโปรตีนในเนื้อเลนส์ มีการเพิ่มขึ้นของโปรตีนชนิดที่ไม่ละลายน้ำ ทำให้เลนส์แก้วตาแข็งและทึบแสงมากขึ้น

จากการศึกษาทางคลินิกของ Head KA โดยให้อาสาสมัครที่มีต้อกระจกจำนวน 50 คน รับประทานสารสกัดจากบิลเบอร์รี่ ที่มีปริมาณแอนโทไซยานิน 25% 180 mg ร่วมกับวิตามินอี 100 mg 2 ครั้งต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลา 4 เดือน

พบว่ากลุ่มที่รับประทานบิลเบอร์รี่สกัดเสริม สามารถยับยั้งการเกิดต้อกระจกเพิ่มได้ถึง 96 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม ที่เห็นผลการยับยั้งที่ 76 เปอร์เซ็นต์ จึงกล่าวได้ว่าแอนโธไซยานิน ช่วยลดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นที่เซลล์ของดวงตา และช่วยป้องกันเลนส์ตาจากการถูกทำลาย

มีผลต่อการมองเห็นในที่มืดหรือที่มีแสงน้อย

จากการศึกษาทางคลินิกของ Nakaishi H และคณะพบว่า แอนโธไซยานินมีผลช่วยให้ความสามารถในการมองเห็นในที่มืดดีขึ้น และยังพบว่ามีส่วนช่วยคลายความเหนื่อยล้าของดวงตา ในกลุ่มที่ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์

เนื่องจากช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของเส้นเลือดฝอย และเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดฝอยที่ตา ทำให้ดวงตาได้รับสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงได้ดีขึ้น

ดวงตาของเรามีเพียงคู่เดียว หากไม่อยากให้ดวงตาประท้วง ก็ต้องหมั่นดูแลกันหน่อย ด้วยการรับประทานอาหารตามหลักโภชนาการ เน้นผักผลไม้ต่าง ๆ โดยเฉพาะผลไม้ตระกูลเบอรี่ ที่มีแอนโธไซยานิน ควบคู่กับการออกกำลังกาย และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หากเกิดความผิดปกติขึ้นกับดวงตา ให้รีบไปพบจักษุแพทย์ทันที เพื่อสุขภาพดวงตาที่ดีและอยู่คู่เราไปอีกนาน

Tip :
วิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน มีคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่องของการดูแลดวงตาโดยตรง มีส่วนช่วยในกระบวนการมองเห็น และลดภาวะตาแห้ง ช่วยโรคตามัวในตอนกลางคืน

ดังนั้นร่างกายจึงควรได้รับวิตามินเอในปริมาณร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน

ที่มา : แบรนด์ เพื่อนแท้ ของชีวิต.January – March 2017

แนะนำ : 9 เกร็ดความรู้สั้น ๆ เรื่องสุขภาพ เกี่ยวกับสรรพคุณของผัก Ep.16
แนะนำ : 9 เกร็ดความรู้สั้น ๆ เรื่องสุขภาพ เกี่ยวกับผักที่มีวิตามินซีสูง Ep.17
แนะนำ : 8 เกร็ดความรู้เรื่องสุขภาพ เกี่ยวกับผลไม้ที่ให้พลังงานสูง Ep.18

เรื่องที่เกี่ยวข้อง