(ฮวงจุ้ย) 4 ข้อสังเกต ลักษณะบ้านที่มีโอกาสล้มเหลวได้ง่าย

การวิเคราะห์บ้านเดี่ยวว่ามีฮวงจุ้ยดีหรือไม่นั้น จําเป็นจะต้องอาศัย ปัจจัยที่นํามาพิจารณามากมาย มีหลักการวิเคราะห์แบบง่ายๆ ให้นําไปสังเกตกัน โดยที่คุณสามารถบอกได้ว่า ลักษณะบ้านแบบใด มีฮวงจุ้ยดี หรือไม่ดีได้ทันที

 

 

การจะวิเคราะห์ว่า ฮวงจุ้ยบ้านจะดีหรือไม่ดีนั้น จะมีข้อให้สังเกตกันมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เวลาซินแสฮวงจุ้ยไปดูบ้าน จะตั้งข้อสังเกตว่า บ้านหลังนี้มีจุดใดบ้างที่ผิดฮวงจุ้ย เพราะฉะนั้น สิ่งที่ควรรู้ก็คือ ข้อสังเกต เกี่ยวกับลักษณะบ้านที่ล้มเหลว ถ้าเราดูออกว่าลักษณะใดบ้างที่เรียกว่าล้มเหลว เราก็จะวิเคราะห์ได้ทันทีว่า บ้านนั้นฮวงจุ้ยดีหรือไม่ โดยที่เราไม่จําเป็นจะต้องศึกษาหลักการทั้งหมดของวิชาฮวงจุ้ย ซึ่งจะต้องใช้เวลาศึกษากันเป็นปีๆ  4 ข้อสังเกตนี้คือลักษณะบ้านที่มีโอกาสล้มเหลวได้ง่าย มีจุดในการวิเคราะห์ต่อไปนี้

 

1. ถนน

การพิจารณาเส้นทางที่เข้าสู่บ้าน อาจดูจากภาพใหญ่ของพื้นที่ก่อน เช่น บ้านอยู่ในหมู่บ้าน ก็ต้องดูว่าหมู่บ้านนั้นตั้งอยู่บนถนนอะไร เป็นถนนสายหลักหรือสายรอง เพราะถนนเปรียบได้กับเส้นเลือดของคนเรา ถ้าหมู่บ้านอยู่บนถนนสายหลัก ก็คือเส้นเลือดใหญ่ ถ้าอยู่ถนนสายรอง ก็คือเส้นเลือดฝอย

 

การอยู่บนถนนสายหลักย่อมจะได้ประโยชน์มากกว่า เพราะถือว่าเป็นแหล่งที่ความเจริญเข้าไปถึงแล้ว หลังจากพิจารณาทําเลใหญ่แล้ว คราวนี้ก็มาดูถนนภายในหมู่บ้าน ดูว่าตําแหน่งบ้านของเรานั้น เส้นทางหรือถนนที่เข้าสู่บ้านมีลักษณะเช่นไร โดยสังเกตรูปทรงของถนนเป็นอันดับแรก

 

ถนนที่มีลักษณะร้าย ก็คือ ถนนที่พุ่งเป็นเส้นทางตรงเข้าสู่บ้านนั่นเอง ซึ่งในทางฮวงจุ้ยถือว่า ถนนลักษณะนี้ร้ายมาก ภาษาฮวงจุ้ยจะใช้คําว่า “วิบัติ” กันเลยทีเดียว บ้านใครเข้าข่ายนี้จะต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะถ้าดวงไม่แข็งแกร่งพอที่จะรับกับกระแสที่รุนแรงได้ ก็จะล้มเหลววิบัติอย่างที่ว่าได้

 

ลองสังเกตดูถนนที่เป็นรูปตัวไอ(I) ตัวที(T) ตัวแอล(L) ตัววาย(Y) ล้วนเป็น ถนนลักษณะร้ายทั้งสิ้น บ้านที่อยู่ในจุดที่ถนนพุ่งเข้าบ้านไม่ว่าจะเป็นด้านหน้า ด้านข้าง หรือด้านหลังจะเข้าข่ายนี้ ซึ่งถือว่าบ้านนั้นล้มเหลว ลองหันดูรอบๆ บ้านซิ มีถนนพุ่งเข้ามาหรือเปล่า ความรุนแรงของผลกระทบจะมากหรือน้อย ให้สังเกตที่ความยาว-สั้นของถนน และการสัญจรไปมาของถนนเส้นนั้น ว่ามีสภาพเป็นเช่นไร

 

จําไว้เลย “ยาวกระทบมากกว่าสั้น” กระแสวิ่งมากก็กระทบมาก นอกจากถนนที่พุ่งเป็นเส้นตรงถือว่าร้ายแล้ว ถนนประเภทโค้ง เชือดเฉือน ก็เป็นอีกลักษณะหนึ่งที่ถือว่าร้ายเช่นกัน บ้านที่อยู่ตรงส่วนโค้งของถนนพอดี โดยเฉพาะโค้งด้านนอก จะเข้าข่ายล้มเหลว ผลกระทบจะมากน้อย ก็พิจารณาแบบเดียวกับถนนที่พุ่งเป็นเส้นตรง

 

2. สิ่งปลูกสร้าง

สภาพแวดล้อมโดยรอบของตัวบ้าน ลองสังเกตดูว่า มีสิ่งปลูกสร้างอะไรบ้าง ที่จะมีอิทธิพลร้ายต่อบ้าน สิ่งปลูกสร้างที่ว่าจะมี ดังนี้ อาคารสูง เหลี่ยมมุมตึก ซอกตึก จั่วสามเหลี่ยม เสาไฟฟ้าแรงสูง โรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล สถานีตํารวจ เรือนจํา วัด สุสาน อนุสาวรีย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศาลพระภูมิ ตราครุฑ บ้านร้าง ที่รก ร้าง ต้นไม้ใหญ่ตายซาก บ้านที่มีสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้อยู่ใกล้ ย่อมส่งผลทําให้บ้านนั้นฮวงจุ้ยเสียได้

 

บางคนสงสัยว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ จะมีมากหรือน้อยจะพิจารณาอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าผลกระทบจะไม่เท่ากันทุกบ้าน ปัจจัยที่ทําให้ผลกระทบต่างกัน จะมีดังนี้ ระยะห่างจากตัวบ้าน ถ้าห่างมากก็กระทบน้อย ถ้าอยู่ติดตัวบ้านก็กระทบมาก ขนาดของสิ่งปลูกสร้าง ถ้าใหญ่ก็กระทบมาก ถ้าเล็กก็ กระทบน้อย ตําแหน่งของสิ่งปลูกสร้าง ถ้าตรงกับตําแหน่งที่เป็นช่องทางเข้าสู่บ้าน เช่น ประตู หน้าต่าง ก็กระทบมาก

 

3. รูปทรงบ้าน

บางคนลืมมองประเด็นนี้ เพราะเห็นว่าไม่น่าจะมีผลกระทบอะไร แต่ในทางฮวงจุ้ย จะให้ความสําคัญในเรื่องนี้ค่อยข้างจะมาก ในตําราก็ย้ำเตือนอยู่เสมอว่า รูปทรงบ้านต้องไม่มีส่วนเว้าแหว่ง ควรเป็น “สี่เหลี่ยมเต็ม” เพราะส่วนเว้าจะส่งผลกระทบต่อบุคคลในบ้านได้ โดยเฉพาะในตําแหน่งที่สําคัญๆ เช่น ตําแหน่งเจ้าของบ้าน (พ่อบ้าน) เป็นต้น

 

บ้านที่มีหัวหน้าครอบครัวเป็นผู้ชาย ถ้าบ้านมีส่วนเว้าแหว่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (ตําแหน่งพ่อบ้าน) ก็จะส่งผลให้บ้านหลังนั้น ล้มเหลวได้ง่าย แต่ถ้าเจ้าของบ้านเป็นผู้หญิง ก็ต้องมาดูที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ (ตําแหน่งแม่บ้าน) ถ้าตําแหน่งนี้เว้าแหว่ง ก็มีส่วนทําให้บ้าน หลังนั้นล้มเหลวได้เช่นเดียวกัน

 

ลองสังเกตสองทิศนี้ให้ดี เพราะถือเป็นทิศที่มีความสําคัญต่อความเป็นอยู่ของครอบครัว ถ้าหัวหน้าครอบครัวอยู่ในตําแหน่งที่ถูกทําลายเสียแล้ว ก็จะไม่มีกําลังที่จะไปต่อสู้กับอุปสรรค หรือนําพาชีวิตครอบครัวให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง นอกจากการพิจารณารูปทรงบ้านที่เว้าแหว่งแล้ว รูปทรงบ้านที่มีลักษณะประหลาด ในทางฮวงจุ้ยก็บอกเอาไว้ว่าจะส่งผลร้ายต่อคนในบ้าน

 

4. แปลนบ้าน

จุดที่ต้องนํามาวิเคราะห์ต่อจากรูปทรงบ้านก็คือ เรื่องของแปลนภายในของบ้าน ดูว่ามีการจัดวางประตูหน้า-ต่างห้องหับเอาไว้อย่างไร มีส่วนไหนที่ผิดหลักฮวงจุ้ยบ้าง

 

เพื่อให้การวิเคราะห์ง่ายขึ้น จะแบ่งบ้านออกเป็น ๓ โซนด้วยกัน คือ โซนหน้าบ้าน กลางบ้าน และหลังบ้าน แล้วมาดูว่าหลักเกณฑ์ ในทางฮวงจุ้ยจะห้ามวาง แปลนเป็นอะไรกันบ้าง

 

หน้าบ้าน ถ้าบ้านใครวางแปลนให้มีห้องส้วม ห้องครัว บันไดอยู่ในโซนนี้ ก็ถือว่าเป็นลักษณะที่ผิดหลักฮวงจุ้ยแล้ว กรณีที่เป็นบันได ถ้าทางลงบันไดหันเข้าหาประตูบ้าน จะเข้าลักษณะเงินไหลออกหรือเก็บเงินไม่อยู่ได้

 

กลางบ้าน จะต้องไม่มีห้องส้วม ยกเว้นจะเป็นด้านข้างของบ้าน ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก บันไดก็อยู่ในข่ายห้ามเอาไว้เหมือนกัน แต่ต้องอยู่ตรงกลางบ้านจริง ถ้าอยู่ด้านข้าง (ริมบ้าน) จะไม่เข้าข่ายที่เป็นข้อห้าม

 

หลังบ้าน โดยปกติจะวางแปลนให้เป็นห้องครัวกับห้องส้วม เพื่อให้มลภาวะจากทั้งสองห้องระบายออกนอกบ้าน แต่ถ้าสองห้องนี้ประตูเกิดตรงกัน ก็ถือว่าผิดฮวงจุ้ยเหมือนกัน จึงต้องสังเกตกันให้ดี ถ้าครัวไม่มีประตู ก็ให้ดูว่าตำแหน่งของประตูห้องส้วม ตรงกับตำแหน่งของเตาไฟหรือไม่ ถ้าตรงก็เข้าข่ายเดียวกัน

 

กรณีของชั้นบน ซึ่งส่วนใหญ่จะทําเป็นห้องนอน แต่จุดที่ควรสังเกตก็ มีเช่นกัน เช่น ดูว่าแปลนบ้านวางตําแหน่งห้องนอนตรงกับบันไดหรือเปล่า โดยเฉพาะประตูห้องนอนตรงกับบันได ถ้ามีห้องพระอยู่ชั้นบน ก็ให้ดูว่าห้องพระติดกับห้องน้ําหรือเปล่า ถ้าติตก็แสดงว่าผิดฮวงจุ้ยเช่นกัน

 

ยังมีวิธีสังเกตอีกวิธีหนึ่ง โดยดูว่าเมื่อเดินเข้าไปในบ้านแล้ว เจออะไรเป็นสิ่งแรก ซึ่งโดยปกติทั่วไปก็มักจะมองเห็นโต๊ะรับแขกเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าเดินเข้าบ้านแล้วมองเห็นบันได ห้องส้วม ห้องครัว (เตาไฟ) หรือประตูหลังบ้าน อย่างนี้ถือว่าไม่ดีแน่ๆ เพราะสิ่งเหล่านี้ จะเป็นตัวทําลายโซคลาภที่ไหลเข้าบ้านจนหมดสิ้น โดยเฉพาะกรณีของประตูหน้าบ้านตรงกับประตูหลังบ้าน ในทางฮวงจุ้ยบอกว่า เงินทองไหลออกหมด ไม่มีเหลือ

 

ข้อสังเกตทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมานี้ จะเป็นตัวบ่งบอกลักษณะบ้านที่มีโอกาสล้มเหลวได้ง่าย และถือเป็นประเด็นสําคัญ ที่จะส่งผลกระทบต่อคนในบ้านได้ บ้านใครที่เข้าหลักเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่ง ก็ถือว่าบ้านนั้นฮวงจุ้ยเสีย ควรที่จะปรับปรุงแก้ไข จะได้ช่วยให้การดําเนินชีวิตที่เต็มไปด้วยอุปสรรคลดน้อยลงได้บ้าง

 

ความจริงยังมี รายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมาย แต่สําหรับปัจจัย ทั้ง 4 ข้อนี้ ถือเป็นปัจจัยหลักที่จะต้องพิจารณาก่อน และไม่ควรที่จะผิด ถ้าปัจจัยทั้ง 4 ข้อนี้ไม่ผิดแล้ว ต่อให้เรื่องปลีกย่อยผิดปกติ ผลกระทบก็จะไม่มาก เพราะถือเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ