วัดพระยืน ตั้งอยู่เลขที่ ๑ บ้านพระยืน หมู่ที่ ๑ ตำบลเวียงยอง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน สังกัดคณะสงฆ์มหานิกายมีเนื้อที่ประมาณ ๒๙ ไร่ ๒ งาน อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำกวง ชื่อ “ วัดพระยืน ” เรียกตามปูชนียวัตถุสำคัญที่อยู่ในวัด คือพระยืน ( พระพุทธรูปยืน ) ซึ่งเรื่องเกี่ยวกับพระยืนนี้ ได้มีการกล่าวไว้ในหนังสือตำนานหลายเล่ม อาทิ ในหนังสือ ตำนานมูลศาสนา ได้กล่าวถึงตอนที่พระญากือนาได้อาราธนานิมนต์พระสุมนเถระจากเมืองสุโขทัย เพื่อมาเชียงใหม่ โดยได้พักที่วัดพระยืน ในเมืองหริภุญชัย ราว พ . ศ . ๑๙๑๒ ซึ่งขณะนั้นได้มีพระยืน ๑ องค์อยู่ก่อนแล้ว แต่บริเวณนั้นเป็นป่า พระญากือนาจึงให้คนไปแผ้วถาง แล้วสร้างพระพุทธรูปยืนเพิ่มอีก ๓ องค์ โดยองค์หนึ่งให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก องค์หนึ่งหันหน้าไปทางทิศเหนือ และอีกองค์หนึ่งหันหน้าไปทางทิศใต้ และสร้างมณฑปครอบพระพุทธรูปยืนทั้ง ๔ องค์นี้ไว้
เจดีย์วัดพระยืนที่เห็นในปัจจุบันเป็นศิลปกรรมพม่า คล้ายกับเจดีย์วัดสัพพัญญูในเมืองพุกาม สร้างบนยกพื้นสูงเป็นชั้นลดหลั่น ลานประทักษิณชั้นบนมีเจดีย์ขนาดเล็กประจำมุม เรือนธาตุเป็นทรงสี่เหลี่ยมมีจระนำยื่นออกมาทั้งสี่ด้าน เหนือเรือนธาตุเป็นหลังคาลาดรองรับชุดฐานซ้อนต่อยอดทรงระฆัง เจดีย์องค์ใหม่ที่สร้างครอบของเดิมนี้ เจ้าหลวงอินทยงยศเจ้าผู้ครองนครลำพูนได้ให้หนานปัญญาเมืองชาวบ้านหนองเส้ง ซึ่งเป็นช่างประจำคุ้มหลวง เป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง
จังหวัดลำพูนได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมและพุทธศาสนา ซึ่งจากตำนานในอดีตกล่าวว่าเป็นเมืองที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในแผ่นดินล้านนา มีวัดวาอารามและโบราณสถานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวัดพระธาตุหริภุญไชย วัดจามเทวี วัดมหาวัน วัดกู่ละมัก แต่มีอยู่วัดหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเป็นวัดที่เก่าแก่ตั้งแต่สมัยเมื่อสร้างเมืองหริภุญชัยคือ “วัดพระยืน” หรือ “วัดอรัญญิการาม”
วัดพระยืนเป็นวัดประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่วัดหนึ่งในจังหวัดลำพูน เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองแห่งนครหริภุญชัย สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวีเป็นปฐมกษัตริย์ครอบครองนครหริภุญชัยองค์ที่ 1 นับอายุปัจจุบันได้ 1330 ปี
ตามตำนานกล่าวว่า เมื่อปี พ.ศ.1204 พระสุเทวฤาษีได้สร้างนครหริภุญชัยขึ้น เมื่อสร้างนครได้ 2 ปี จึงได้อัญเชิญพระนางจามเทวีจากเมืองละโว้มาเสวยราชสมบัติและเมื่อพระนางจามเทวีครองราชได้ 7 ปี เมื่อปี พ.ศ.1213 พระองค์จึงได้สร้างวัดทางทิศตะวันออกของเมือง สร้างพระวิหาร พระพุทธรูปและเสนาสนะให้เป็นที่อยู่ของพระสังฆเถระ เรียกชื่อวัดนี้ว่า “อรัญญิการาม”
ปีพุทธศักราช 1606 สมัยพระเจ้าอาทิตยราช กษัตริย์องค์ที่ 32 แห่งนครหริภุญชัย มีผอบบรรจุพระบรมสารีริกธาตุผุดขึ้นมาจากพื้นดินกลางเมือง เปล่งรัศมีต่าง ๆ พระองค์จึงมีบัญชาให้เสนาอำมาตย์ทั้งหลาย สร้างพระสถูปปราสาทสูง 12 ศอกมี 4 เสาประตู 4 ด้าน ตรงผอบที่พระบรมสารีริกธาตุผุดขึ้นนั้นภายหลังเรียกว่า “พระบรมธาตุหริภุญชัย” และพระเจ้าอาทิตยราชทรงหล่อพระมหาปฏิมากรทองสัมฤทธิ์สูง 18 ศอกเสร็จแล้วได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่วัดทางทิศตะวันออกหลังพระวิหารวัดอรัญญิการาม และสร้างปราสาทสถูปเป็นที่ประดิษฐานพระมหาปฏิมากร(พระพุทธรูปยืน)นั้นด้วย เรียกชื่อว่า “วัดพุทธอาราม”
ในปี พ.ศ.1912 พระยากือนาและพระมหาสุมณะเถระ ได้สร้างพระพุทธรูปยืนด้านตะวันออกด้วยศิลาแลงเมื่อปีระกา เดือนยี่ออก 3 ค่ำวันอังคาร ซึ่งปรากฏตามหลักศิลาจารึกความว่า “พระมหาเถระเป็นเจ้า จึงให้แรกสร้างพระยืนเป็นเจ้าในปีระกา เดือนยี่ออก 3 ค่ำวันไตยกาบเส็ด วันเม็งอังคาร เมื่อจักได้สร้างศักราชได้เจ็ดร้อยสามสิบเอ็ดฯ….ถัดนั้นท่านเป็นเจ้าให้แรกมาฆะ คือประชัยรากพระพุทธรูปยืนทั้ง 3 ตน อันมาหนด้านใต้ ด้านเหนือ เมื่อวันหนวันตกนั้น ปีระกาเดือน 3 แรม 4 ค่ำฯ…วันศุกร์ศักราชได้เจ็ดร้อยสามสิบเอ็ดโสด กระทำพระยืนเป็นเจ้าในปีระกามาแล้วในปีจอ”
วัดพระยืน ในอดีตเคยรุ่งเรืองมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของเมืองหริภุญชัย ด้วยวัดพระยืนเป็นวัดสำคัญทางทิศตะวันออกของเมือง มีบ้านเรือนศรัทธาผู้อุปฐากประมาณ 70 หลังคาเรือน ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำไร่ทำนา พระภิกษุที่จำพรรษาที่วัดนี้ ส่วนใหญ่มาจากถิ่นอื่น เพื่อพำนักศึกษาเล่าเรียน
โบราณสถานที่สำคัญในวัดพระยืน ได้แก่ เจดีย์วัดพระยืน สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1606 สมัยพระเจ้าอาทิตยราช ซึ่งพระองค์ได้หล่อพระมหาปฏิมากรทองสัมฤทธิ์สูง 18 ศอกแล้วอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่วัดพระยืน ต่อมาปี พ.ศ.1912 พระยากือนา กษัตริย์นครพิงค์เชียงใหม่ได้นิมนต์พระสุมณะเถระจากเมืองสุโขทัยมาจำพรรษาที่วัดพระยืน จากนั้นจึงได้ก่อสร้างพระพุทธรูปยืนเป็นศิลาแลงขนาดเท่าองค์เดิมขึ้นอีก 3 องค์ และต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2447 พระคันธวงศ์เถระ (ครูบาวงศ์) ภายหลังที่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูศีลวิลาศ เจ้าคณะจังหวัดลำพูนพร้อมด้วยเจ้าหลวงอินทยงยศ เจ้าผู้ครองนครลำพูนได้ก่อสร้างสถูปที่พังทลายแล้ว แต่องค์พระปฏิมากรสมัยที่พระเจ้าอาทิตยราชและพระสุมณะเถระกับพระยากือนาสร้าง 4 องค์นั้นยังอยู่ การก่อสร้างขึ้นใหม่ได้ก่อหุ้มพระปฏิมากรทั้ง 4 องค์เดิมไว้ภายในและได้สร้างก่อสร้างพระพุทธรูปขึ้นใหม่อีก 4 องค์
เจดีย์วัดพระยืนที่เห็นในปัจจุบันเป็นศิลปกรรมพม่า คล้ายกับเจดีย์วัดสัพพัญญูในเมืองพุกาม สร้างบนยกพื้นสูงเป็นชั้นลดหลั่น ลานประทักษิณชั้นบนมีเจดีย์ขนาดเล็กประจำมุม เรือนธาตุเป็นทรงสี่เหลี่ยมมีจระนำยื่นออกมาทั้งสี่ด้าน เหนือเรือนธาตุเป็นหลังคาลาดรองรับชุดฐานซ้อนต่อยอดทรงระฆัง เจดีย์องค์ใหม่ที่สร้างครอบของเดิมนี้ เจ้าหลวงอินทยงยศเจ้าผู้ครองนครลำพูนได้ให้หนานปัญญาเมืองชาวบ้านหนองเส้ง ซึ่งเป็นช่างประจำคุ้มหลวง เป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างเจดีย์ขึ้นใหม่แทนองค์เดิมที่เหนือซุ้มขึ้นไปได้พังทลายลง
หลักศิลาจารึก ที่ขุดพบในวัดพระยืน สันนิษฐานว่ามีอายุประมาณ 600 กว่าปี สร้างขึ้นเมื่อคราวที่พระสุมณะเถระกับพระยากือนาได้ร่วมกันก่อสร้างพระพุทธรูปยืนขึ้นอีก 3 องค์ ศิลาจารึกนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เคยเสด็จมาทอดพระเนตรและได้นำกระดาษสาและแท่งคาร์บอนฯมาขูดเพื่อปรากฏตัวอักษรนำไปศึกษาซึ่งพระองค์ให้ความสนพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ภายในวัดพระยืนยังมีพระอุโบสถที่เก่าแก่ ที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ากือนาเมื่อปี พ.ศ.1929 ต่อมาพระมงคลญาณมุณี เจ้าคณะจังหวัดลำพูนและเจ้าอาวาสวัดพระยืนได้ทำการบูรณะขึ้นใหม่ในปี พ.ศ.2472 ซึ่งปัจจุบันพระอุโบสถแห่งนี้ยังปรากฏภาพเขียนสีที่บริเวณด้านข้างและมีลวดลายที่หน้าบันอย่างสวยงาม ซึ่งคงสภาพเดิมเมื่อกว่า 70 ปีที่แล้ว
ด้วยคุณค่าของศิลปกรรมเก่าแก่ที่มีการอนุรักษ์รักษาไว้เป็นอย่างดีของชาวบ้านวัดพระยืน อีกทั้งในบริเวณวัดยังเงียบสงบร่มรื่น จึงไม่แปลกใจเลยที่วัดพระยืนแห่งนี้ ได้กลายเป็นวัดที่หลายคนใฝ่ฝันเดินทางมาศึกษาถึงประวัติและเยี่ยมชมความสวยงามของศิลปกรรมสมัยเมื่อ 600 กว่าปีก่อนอย่างมากมาย
ที่มา : https://www.sites.google.com/site/watinlamphun/wad-phrayun