กวนอิมเงิน กวนอิมทอง ขนุนและ โป๊ยเซียน 3 ไม้มงคลยอดนิยม ที่มีความเชื่อมาแต่โบราณว่าปลูกแล้วเสริมความเป็นมงคลแก่คนในบ้าน อย่างไรก็ตามขึ้นชื่อว่าเป็นต้นไม้ และคนในบ้านดูแลเป็นอย่างดี ไม่ปล่อยให้เหี่ยวเฉาตายไป ก็นับได้ว่าเป็นการสร้างความสดชื่นให้แก่คนในบ้านได้อย่างอัศจรรย์อย่างไม่ต้องสงสัยกันเลย ต้นไม้นานาพันธุ์ที่มีชื่อเรียกขานที่ดี มีลักษณะที่ดีหรือมีความเชื่อที่เล่าขานกันมาแต่โบราณว่าต้นไม้ชนิดนี้ดีไม่ดีอย่างไร ก็ล้วนแต่ได้สร้างความเชื่อเรื่องการเสริมมงคลให้กับบ้านและตัวบุคคลเรื่อยมาตราบจนวันนี้
1.กวนอิมเงิน กวนอิมทอง
เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก รอบลำต้นจะมีใบเล็ก ๆ ลักษณะยาวเรียวปลายแหลมขึ้นล้อมเรียงสลับกัน โดยถ้าที่บริเวณแถบของใบเป็นสีเทาเหลือบ ก็แสดงว่าเป็นกวนอิมเงิน แต่หากแถบใบเป็นสีเหลืองนั่นก็คือกวนอิมทอง
ความเป็นมงคล
ด้วยความที่เป็นไม้มีชื่อเป็นมงคล เพราะไปตรงกับชื่อของเทพเจ้าที่ทั้งชาวไทยและชาวจีนให้ความนับถือ ทั้งยังเป็นไม้ที่กำเนิดมาตั้งแต่โบราณ ที่มักจะถูกนำไปใช้ในพิธีสำคัญ ๆ คู่กันทางศาสนา โดยเฉพาะกับการใช้ไหว้บูชาพระโพธิสัตว์ จึงเชื่อว่าหากได้ปลูกต้นกวนอิมเงิน กวนอิมทอง คู่กันไว้ในบริเวณบ้าน ความเป็นอยู่ภายในจะมีความสุขสบายมากขึ้น ฐานะการเงินจะค่อย ๆ มั่งคั่งขึ้นตามลำดับ เพราะถือกันว่าเป็นไม้เรียกทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสมาชิกภายในบ้านประกอบกิจการค้าขายก็จะส่งผลที่ดีนัก เพราะจะช่วยให้ราบรื่นมีโชค ค้าขายได้คล่อง และเพียงไม่นานนักฐานะความเป็นอยู่ก็จะอุดมไปด้วยทรัพย์อย่างมหาศาล
Tips : เพื่อให้เกิดมงคลอย่างบริบูรณ์จากการปลูกกวนอิมเงิน – กวนอิมทอง เชื่อว่าต้องปลูกตามเคล็ดดังนี้
- ต้องปลูกคู่กันไว้ทางทิศตะวันออกของบ้าน เพราะแสงแดดยามเช้าจะช่วยให้ต้นไม้งอกงามดี และเมื่อต้นงอกงามได้สวยก็จะสามารถเสริมมงคลให้กับบ้านได้
- วันอังคารเป็นวันที่เหมาะแก่การปลูกกวนอิมเงิน – กวนอิมทอง เพราะเป็นไม้ที่ให้ใบ และการปลูกเอาใบให้ได้ความสวยงาม โบราณเชื่อว่าวันอังคารเป็นวันที่ปลูกไม้ใบได้ผลดีที่สุด
2.ขนุน
เป็นไม้ขนาดใหญ่ให้ผลที่รับประทานได้ มีหลากหลายสายพันธุ์ แต่ที่นิยมปลูกกันมาก ได้แก่ พันธุ์จำปาดะ ขนุนเนื้อ และขนุนหนัง คนไทยเริ่มปลูกขนุนมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยลักษณะทั่วไปของต้นขนุนก็คือ ลำต้นที่เป็นผิวเรียบสีออกเทา ๆ ผลจะออกอยู่ที่บริเวณโคนลำต้น
ความเป็นมงคล
ด้วยชื่อเรียกที่พ้องกับความหมายอันสื่อถึงการสนับสนุน หรือการเกื้อหนุน คนไทยจึงมีความเชื่อแต่โบราณว่า หากได้ปลูกขนุนไว้ในบริเวณบ้าน จะได้รับความเป็นมงคลเหมือนกับชื่อ ทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยภายในบ้านคิดจะทำการใดก็จะได้รับแรงสนับสนุนที่ดี สามารถประสบความสำเร็จในหน้าที่ต่าง ๆ ได้โดยง่าย รวมไปถึงเรื่องต่าง ๆ อย่างความเป็นอยู่ ฐานะ โชคลาภ ก็จะได้รับการหนุนนำให้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
Tips : เพื่อให้เกิดมงคลอย่างบริบูรณ์จากการปลูกขนุน เชื่อว่าต้องปลูกตามเคล็ด ดังนี้
- ควรปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้าน
- วันที่ดีที่เป็นมงคล เชื่อว่าต้องปลูกในวันจันทร์ หรือวันพฤหัสบดี
- ต้องให้ผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครัวเป็นคนลงมือปลูก
3.โป๊ยเซียน
เป็นไม้ดอกประเภทยืนต้น บริเวณลำต้นจะเต็มไปด้วยหนามแหลมคม ใบเป็นใบเดี่ยวสีเขียว ดอกมีหลากสีขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ เมื่อออกดอกจะออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ซึ่งในแต่ละช่อจะนับดอกย่อยเป็นคู่โดยสามารถนับได้มากสุดถึง 56 คู่
ความเป็นมงคล
เชื่อกันว่าเป็นไม้มงคล ถ้าได้ปลูกเลี้ยง ดูแลโป๊ยเซียนไว้ภายในบ้าน แล้วออกดอกสวยงามอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะหากนับได้ 8 ดอก นั่นหมายถึงว่าสมาชิกที่อยู่อาศัยในบ้านหลังนั้น กำลังจะได้รับโชคลาภที่ดี อาจถูกลอตเตอรี่ ได้รับเงินก้อนโต หรือกำลังจะมีข่าวดีเกี่ยวกับหน้าที่การงาน และด้วยความที่เป็นไม้แห่งเทพ 8 องค์ สิ่งที่ได้นอกเหนือจากความเป็นมงคลในการให้โชคลาภแก่คนในบ้านแล้ว โป๊ยเซียนยังเปรียบเหมือนเป็นตัวแทนของเทพทั้ง 8 ในการช่วยปกปักรักษาทุกคนในบ้านให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ความร่มเย็นอีกด้วย
Tips : เพื่อให้เกิดมงคลอย่างบริบูรณ์จากการปลูกโป๊ยเซียน เชื่อว่าต้องปลูกตามเคล็ด ดังนี้
- ผู้ที่ลงมือปลูกควรเป็นผู้ใหญ่วัยกลางคนขึ้นไป อาจเป็นญาติหรือเป็นคนมีอายุที่คนในบ้านต่างให้ความนับถือ
- ควรปลูกไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของบ้าน
- วันพุธคือวันที่ดีเป็นมงคลยิ่งสำหรับการลงโป๊ยเซียน
ไม้ประดับที่เหมาะกับการปลูกภายในอาคารบ้านเรือน
ไม้ประดับที่เหมาะสำหรับการปลูกประดับไว้ภายในอาคาร บ้านพัก หรือในที่ร่ม ควรจะเป็นต้นไม้ประเภทไม้ดอกไม้ใบ ที่นอกจากจะให้ความสวยงามในเรื่องของสีสันและรูปทรงต่าง ๆ ของดอกของใบแล้ว ไม้ประเภทนี้ยังสามารถอยู่ได้ทน ล้มตายยากเลี้ยงดูง่าย และปรับสภาพเข้ากับสิ่งแวดล้อมที่อยู่ได้ดี ไม้ใบจะมีลักษณะโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ แต่การจะพิจารณาถึงความสวยงามของไม้ใบเพื่อนำมาประดับภายในอาคารนั้น ส่วนใหญ่ก็จะเลือกโดยดูได้จากลักษณะของใบ ดังต่อไปนี้
- รูปร่างของใบเป็นทรงเช่นไร เหมาะสมกับสถานที่หรือไม่ ใบใหญ่เกินไปทำให้เกะกะพื้นที่ใช้สอยหรือเปล่า
- เนื้อของใบมีความสมบูรณ์ตามพันธุ์ดีหรือไม่ มีใบแตกแห้งเสียหายหรือไม่อย่างไร
- สีสันและลวดลายของใบตรงกับใจที่ชอบหรือเปล่า
- ลวดลายของเส้นใบมีความชัดเจนถูกต้องดี
- การเรียงตัวของใบ เรียงตัวซ้อนกันอย่างสวยงามหรือเปล่า และเมื่อใบใหม่ ๆ แตกออกมาจะงอกไปในทิศทางใด จะต้องตกแต่งเช่นไรถึงจะดูสวยงามไม่รกตา
เมื่อตกลงเลือกไม้ประดับได้สมใจแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะนำมาลงในสถานที่จริง ซึ่งมีวิธีการปลูกไม้ใบประดับภายในอาคารนั้น อันดับแรกควรต้องคำนึงถึงพันธุ์ของไม้ประดับนี้เสียก่อนว่า เป็นไม้ขนาดเล็กหรือใหญ่ การเติบโตเป็นอย่างไร เป็นเถาเลื้อย หรือเป็นพุ่มธรรมดา จากนั้นจึงมาพิจารณาเลือกวัสดุหรือกระถางที่จะใช้ปลูกเลี้ยง ซึ่งวิธีการปลูกไม้ประดับภายในอาคารมีอยู่ 3 แบบ คือ
- ปลูกลงในกระถาง และกระถางที่เหมาะสำหรับไม้ประดับภายในอาคาร ก็คือ กระถางดินเผา เพราะสามารถถ่ายเทระบายอากาศได้ดีกว่าเนื้อกระถางที่ทำจากวัสดุอื่น ๆ ช่วยให้รากให้เน่าได้ง่าย ส่วนเรื่องของรูปทรงและขนาดนั้นก็ขึ้นอยู่กับทรงและขนาดของต้นไม้ ต้นใหญ่กระถางก็ใหญ่ ต้นเล็กกระถางก็เล็ก หากการเติบโตของต้นไม้มีลักษณะสูงตรงขึ้นไป เช่น ไผ่ ไทร สาวน้อยประแป้ง หวายเขียว หรือพิกุล ก็ควรเลือกใช้กระถางทรงสูง แต่หากการเติบโตของไม้ประดับเป็นไปในลักษณะแบบทอดเลื้อย หรือเป็นพุ่มเตี้ย อาทิ ราชินีหินอ่อน เศรษฐีเรือนนอกเรือนใน หรือเฟิร์นต่าง ๆ ก็ควรเลือกใช้กระถางทรงเตี้ย ๆ
- ปลูกลงในแห่งเพาะชำ ซึ่งแท่งเพาะชำสำเร็จรูปนี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายต้นไม้ทั่วไป โดยแท่งเพาะชำจะมีลักษณะเป็นแท่งใช้แทนก้อนดิน ที่ส่วนบนของแท่งจะมีรูสำหรับเอาไว้ใส่เมล็ดปลูก หรือเอาไว้สำปรับปักชำ สามารถใช้ปลูกไม้ประดับได้ดีทุกชนิด และยังใช้ได้ง่าย ไม่เลอะเทอะเหมือนใช้ดิน อีกทั้งยังไม่ต้องห่วงเรื่องการดูแลให้น้ำให้ปุ๋ย เพราะแท่งเพาะชำนี้บรรจุธาตุอาหารที่จำเป็นแก่ต้นไม้อยู่อย่างครบ พร้อมประกอบกับอุ้มความชื้นได้ดี การรดน้ำให้ปุ๋ยจึงสามารถเว้นช่วงได้ระยะนานกว่าการปลูกในดิน การปลูกต้นไม้ด้วยวิธีนี้จึงสามารถทุ่นเวลาการเอาใจใส่ไปได้เยอะทีเดียว