ผมมีโอกาสได้ใกล้ชิดได้รับใช้นักการเมืองคดโกง คอร์รัปชั่นเบียดบังเงินภาษีอากรของราษฎรอยู่หลายปี และมีโอกาสได้เห็นวาระสุดท้ายของท่านผู้นี้ตราบสิ้นลมหายใจ ทำให้รู้สึกสำนึกถึงเรื่องบาปเวรและกฎแห่งกรรมมากยิ่งขึ้น
ผมเป็นชาวบ้านชนบทที่มีฐานะทางครอบครัวค่อนข้างยากจนพอๆ กับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ เรียนจบชั้นมัธยมแล้วก็หมดวาสนาเรียนต่อจึงตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ มาหางานทำ ผมทำงานมาสารพัดตามประสาคนมีความรู้น้อย กระทั่งเก็บเงินไปเรียนขับรถยนต์ จากนั้นก็ยึดอาชีพเป็นคนขับรถให้กับห้างร้านหลายแห่ง ครั้งหลังสุดไปทำงานเป็นคนขับรถส่งของให้กับโรงงานแห่งหนึ่งและก็ได้เมียที่นี่
เหตุที่ผมมีโอกาสไปรับใช้ใกล้ชิดนักการเมืองก็เนื่องมาจากเมียผม เรื่องมันเริ่มขึ้นตรงที่เมียผมเป็นคนบ้านเดียวกับภรรยาของนักการเมืองท่านนี้ ซึ่งขอตั้งนามสมมติให้ท่านว่าคุณสมชาย คุณสมชายที่ว่านี้เป็น ส.ส. ของจังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน เพื่อนของเมียผมมาชวนให้ไปเป็นคนรับใช้ในบ้านของคุณสมชาย โดยมีเงินเดือน 4000 กว่าและมีที่อยู่ที่พักให้ เมื่อภรรยา ส.ส. รู้ว่าผมขับรถได้จึงรับผมเข้าทำงานเป็นคนขับรถอีกคน จึงเป็นอันว่าเราสองคนผัวเมียได้เข้าไปอยู่ในบ้านของนักการเมืองระดับชาติตั้งแต่นั้น ที่จริง การเข้าไปทำงานกับคุณสมชายทำให้รายได้ของผมลดน้อยลงกว่าทำงานที่โรงงาน แต่อาศัยว่าเราไม่ต้องเสียค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ มีอาหารให้กินฟรี 3 มื้อ จึงพอถัวเฉลี่ยอยู่ได้สบาย
คุณสมชาย หรือ ส.ส. สมชาย เป็นคนอีสานเชื้อสายจีน มีฐานะทางครอบครัวค่อนข้างดี เนื่องจากเป็นตระกูลพ่อค้านักธุรกิจเกี่ยวกับพืชไร่ เมื่อ ส.ส. สมชาย ลงเล่นการเมืองจึงได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวเต็มที่ ทราบว่าครอบครัวทุ่มเงินให้เป็นเงินก้อนใหญ่ทีเดียว หลังจากได้เป็น ส.ส. แล้วคุณสมชายได้ย้ายมาอยู่กรุงเทพ โดยภรรยามาอยู่ด้วย มีบ้านหลังใหญ่อยู่ที่พระโขนงซึ่งผมกับเมียก็อยู่ที่นั่นด้วย
ตอนแรกผมมีหน้าที่ขับรถรับใช้คุณผู้หญิง ต่อมาคนขับรถประจำตัวของ ส.ส. สมชาย ลาออกผมจึงรับหน้าที่ขับรถให้คุณสมชายแทน เวลาหมดสมัยประชุม ส.ส.สมชายจะบินกลับต่างจังหวัดเพื่อลงพื้นที่พร้อมกับภรรยา บางครั้ง ส.ส. สมชายจะให้ผมนั่งรถทัวร์ไปช่วยขับรถที่ต่างจังหวัดด้วย และมีเบี้ยเลี้ยงพิเศษให้ทุกครั้ง
ระยะแรกๆ ที่ผมเข้ามาทำงานเป็นคนขับรถ ท่าน ส.ส. บอกตามตรงว่ามีความภูมิใจไม่น้อย แต่เวลายิ่งผ่านไปนานเข้า ความรู้สึกเหล่านั้นดูเหมือนจะค่อยๆ เลือนหายไปทุกที ทั้งนี้เนื่องจากยิ่งใกล้ชิดกับ ส.ส. สมชายมากเท่าไหร่ หลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่คิดว่าจะรู้จะเห็นมันก็ค่อยๆ ปรากฏมากขึ้นด้วยเรื่อยๆ กระทั่งกลายเป็นความอัดอั้นตันใจสำหรับผมมากขึ้นและมากขึ้นเช่นกัน
อาจเป็นเพราะผมไม่ดื่มเหล้าไม่สูบบุหรี่ จะใช้ให้ทำอะไรก็รีบทำด้วยความเต็มใจและพยายามทำจนสำเร็จเรียบร้อย ประกอบกับเป็นคนเงียบๆ ไม่ชอบสุงสิงวุ่นวายกับใคร ทำให้ส.ส. สมชายไว้เนื้อเชื่อใจผมมากพอสมควร เรียกได้ว่ากลายเป็นคนขับรถคนสนิทก็ว่าได้ และก็เพราะเป็นคนสนิทนี่แหละทำให้รู้เบื้องหลังของส.ส. สมชัยมากทีเดียว เช่น มีเมียน้อยเป็นใคร อยู่ที่ไหนผมรู้หมด เพราะต้องขับรถไปส่งและช่วยปกปิดไม่ให้คุณผู้หญิงรู้
เรื่องมีเมียน้อยหรือเที่ยวเตร่ในสถานที่หรูๆ แพงๆ ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรสำหรับผม เพราะไม่ได้คิดไปในทางไม่ดีต่อ ส.ส.สมชายแม้แต่น้อย ทว่ามีเรื่องบางเรื่องเท่าที่รู้มา เรื่องพวกนั้นที่ผมเสื่อมศรัทธาในตัว ส.ส. ผู้นี้ เช่น สมัยที่ราคาที่ดินกำลังบูมอย่างบ้าเลือด การซื้อขายที่ดินมีราคาแพงเกินความเป็นจริง ส.ส.มชายก็เล่นที่ดินกับเขาด้วย ตอนนั้นแกไปเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีท่านหนึ่งพร้อมๆ กับเพื่อน ส.ส. ก๊วนเดียวกันอีกหลายคน ในช่วงนั้นต้องขับรถพาคณะสงฆ์สมชายไปจังหวัดเชียงรายบ่อยที่สุด
ที่จริงการเดินทางไกลจากกรุงเทพไปเชียงราย พวก ส.ส. เขาจะนั่งเครื่องบินไป แต่ที่ให้ผมขับรถไปเนื่องจาก ส.ส.สมชายไม่ต้องการให้เป็นที่อื้อฉาวและมีคนรู้เห็นอย่างเปิดเผย เท่าที่ฟังเขาพูดกันขณะขับรถก็คือ ส.ส. กลุ่มนี้กำลังดำเนินการนำเอาที่ดินซึ่งเป็นป่าสงวนว่าออก นส. ๓ เพื่อขาย โดยมีการประสานงานกับผู้มีอำนาจทางการเมืองและข้าราชการประจำพวกเดียวกัน ใช้เวลาไม่กี่เดือนก็ทำสำเร็จ และขายที่ดินหลายร้อยไร่ได้เป็นจำนวนเงินมหาศาล ส.ส.สมชายได้รับส่วนแบ่งมาเป็นเงินหลายร้อยล้านบาท แกบอกผมว่า “กว่าจะได้เป็น ส.ส.อั๊วหมดเงินไปเยอะ ถึงคราวต้องถอนทุนบ้างละวะ”
ผมฟังแล้วก็ได้แต่งเงียบ แต่ในใจสลดหดหู่บอกไม่ถูก ขนาดที่ดินซึ่งเป็นป่าสงวนของชาติพวกเขายังเอาไปขายได้หน้าตาเฉย ต้องยอมรับแล้วว่านักการเมืองมีอิทธิพลมากมายจริงๆ ยังมีอีกมากมายหลายเรื่องที่ ส.ส.สมชายได้ผลประโยชน์อย่างแยบยล ซึ่งไม่สามารถรู้รายละเอียดแบบลึกๆ แต่เท่าที่ฟังมาอย่างฉาบฉวยและไม่ค่อยประติดประต่อนักก็คือพวก ส.ส.กลุ่มคุณชายจะเป็นพวกเดียวกันกับนักการเมืองระดับใหญ่ขึ้นไปอีก พวกนี้จะรู้เรื่องงบประมาณต่างๆ เป็นอย่างดี และก็เข้าไปมีผลประโยชน์กับเงินงบประมาณในส่วนที่จะหยิบฉวยเอามาได้ เช่น รับเหมาก่อสร้างบ้าง หรือเรียกเงินค่าหัวคิวบ้าง ชักเปอร์เซนต์บ้าง วิ่งเต้นให้กับพ่อค้านักธุรกิจที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับงบประมาณแผ่นดิน ทำให้รัฐต้องสูญเสียเงินงบประมาณสูงเกินกว่าเหตุ และเงินส่วนเกินเหล่านั้นก็ถูกนำมาแบ่งกันในหมู่นักการเมืองขี้โกงเหล่านี้
ผมยอมรับว่า ส.ส.สมชายแกเก่งในการวิ่งเต้นในการหาเงินทางทุจริตจริงๆ ช่วงเวลาไม่ถึง 2 ปี ฐานะการเงินของแกมั่งคั่งร่ำรวยผิดกว่าแต่ก่อนมากมาย และมีหลายเรื่องที่ผมพอรู้วิธีการที่เรียกกันว่าฉ้อราษฎร์บังหลวงแต่ไม่สามารถบอกเล่าอย่างโจ่งแจ้ง ณ ที่นี้ได้ เพราะจะกระทบกับหลายฝ่ายหลายคน ซึ่งบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการฉ้อโกงชาติบ้านเมืองก็ยังมีอำนาจอยู่ในขณะนี้ หากผมเกล้าออกมาก็ยอมชี้ชัดได้ว่ากลุ่มคนผู้นั้นเป็นใครและข้อสำคัญผมกลัวกลัวอิทธิพลซึ่งสามารถเอื้อมมาถึงได้ไม่ยาก
ขอเล่าเฉพาะ ส.ส.สมชายเพียงคนเดียว คนๆ นี้มีความฉลาดและไหวพริบเป็นเยี่ยม หน้าฉากของเขาดูน่านับถือน่าเลื่อมใสมาก โดยเฉพาะเขาไม่เคยทิ้งฐานเสียงและหัวคะแนนทุกกรณี ไม่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในรูปแบบใด ส.ส.สมชายจะออกเยี่ยมเยียนราษฎรสม่ำเสมอ สิ่งไหนช่วยได้เขาจะช่วย มองอย่างผิวเผินจะเห็นว่าเขาเป็นนักการเมืองของประชาชนอย่างแท้จริง ยิ่งเป็นพวกหัวคะแนนด้วยแล้ว ส.ส.สมชายจะคอยเกื้อกูลไม่เคยทอดทิ้ง ทำให้มีคนรักและนับถือเขาเรื่อยมา
แต่แท้จริงแล้วของ ส.ส.สมชายที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจ ก็คือเขาเตรียมพร้อมที่กลับมาสู่อำนาจทางการเมืองตลอดเวลา และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อวิถีทางการเมืองกลับมาสู่ระบอบประชาธิปไตย และมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อไหร่ ส.ส.สมชายจะได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนเมื่อนั้น แล้วเขาก็จะเกาะกลุ่มหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าอีกต่อไป
ส.ส.สมชายมีอายุแค่ 40 กว่าๆ เท่านั้น และเขาเชื่อมั่นว่าจะต้องก้าวไปถึงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการให้ได้ในวันหนึ่ง และถ้าวันไหนเขาไปถึงจุดสุดยอดที่ตั้งใจไว้ เชื่อเถอะว่าจะต้องมีรายการแสวงหาผลประโยชน์อันมิชอบอย่างมโหฬารแน่นอน
แต่ ส.ส. สมชายก็ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้เมื่อเป็นมะเร็งเสียก่อน ส.ส.สมชายเป็นคนมีสุขภาพดีมาโดยตลอด เขาไม่สูบบุหรี่ไม่ดื่มเหล้า นานครั้งจะเห็นจิบเหล้าราคาแพงๆ ในงานสังคมนิดๆ หน่อยๆ ก่อนที่ ส.ส.สมชายจะรู้ว่าเป็นมะเร็งมีอาการน้ำหนักตัวลดลงจากเดิม และรู้สึกเจ็บตรงใต้ชายโครงข้างขวาบ่อยๆ แต่ก็ยังไม่ยอมไปหาหมอเพราะคิดว่าเป็นโรคกระเพาะ ได้แต่ซื้อยามากินเอง กระทั่งอาการเจ็บถี่ขึ้นจึงได้ยอมไปตรวจร่างกาย
และก็ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งในตับระยะที่สี่แล้ว การรักษาโดยการผ่าตัดไม่สามารถทำได้นอกจากใช้การบำบัดทางเคมี ซึ่งแทบไม่ได้ผลอะไรนอกจากชะลอให้ยืนยาวต่อไปอีกระยะหนึ่งเท่านั้น ช่วงนี้เห็น ส.ส.สมชายท้อแท้และหวาดกลัวต่อความตายซึ่งเท่ากับมาจอดอยู่ตรงหน้า เขาเคยพูดกับผมขณะขับรถไปส่งโรงพยาบาลอย่างคนหมดอาลัยตายอยากต่อชีวิตว่า “ทำไมไอ้โรคระยำนี่จะต้องมาเป็นที่อั๊วด้วยวะ อั๊วยังไม่ได้ใช้เงินให้หนำใจก็ต้องมานั่งรอ นอนรอวันตายอย่างน่าทุเรศอย่างนี้”
ผมเองก็ได้แต่ปลอบใจแกไปตามเรื่อง ขณะเดียวกันก็อดคิดไม่ได้ว่าคงเป็นกรรมของ ส.ส.สมชายเสียละกระมังที่ทำให้แกต้องมาเป็นโรคไตนี้ทั้งที่อายุยังไม่เท่าไหร่ กรรมเลวที่สืบเนื่องมาจากการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ และคดโกงฉ้อฉลโดยใช้อำนาจหน้าที่เบียดบังเงินของชาติมาเป็นของตัวเอง สร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้แก่ตัวเองด้วยการทุจริตคิดมิชอบเป็นเวลานาน ในที่สุดผลแห่งกรรมก็มาปรากฏให้เห็น
เชื่อเหลือเกินว่าในห้วงเวลาสุดท้ายในชีวิตของ ส.ส. สมชายคงจะทุกข์ทรมานใจอย่างสุดบรรยายทีเดียว ความเป็นห่วงบุตรภรรยาตลอดจนภรรยาน้อย และทรัพย์สมบัติมันมากมาย ตลอดจนห่วงหาอาลัยในชีวิตของตนที่ต้องพลัดพรากจากไปในเวลาอันใกล้ทำให้ ส.ส. สมชายกินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ต้องไปนอนโรงพยาบาลเพราะอาการกำเริบยิ่งขึ้น ช่วงสุดท้ายของอาการทราบว่า ส.ส.สมชายได้รับความเจ็บปวดอย่างหนัก แพทย์ต้องให้ยาแก้ปวดต่อเวลา และกว่าจะสิ้นลมหายใจก็ประสบกับความทรมานอยู่นานหลายวัน เป็นการตายที่ทุรนทุรายอย่างน่าเวทนาที่สุด
ใครๆ อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บธรรมดาซึ่งใครก็เป็นได้ เพราะคนที่เป็นโรคมะเร็งร้ายนี้มีมากมายและได้เสียชีวิตไปแล้วนับจำนวนไม่ถ้วน แต่สำหรับผมกลับคิดและเชื่อว่าการที่ ส.ส.สมชายเป็นโรคมะเร็ง น่าจะเป็นการแสดงถึงผลแห่งกรรมชั่วที่แกได้สร้างไว้โดยไม่เคยสำนึกว่าการกระทำเหล่านั้นเป็นความเลว ไม่เคยคิดจะหยุดยั้งการฉ้อฉลคดโกงด้วยวิธีอันแยบยล และถ้าหากมีวาสนาบารมีทางการเมืองยิ่งใหญ่กว่าเดิม ก็เป็นที่เชื่อได้ว่า ส.ส. สมชายจะต้องแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบต่อไปอีก ดังนั้นผลแห่งกรรมเลวจึงมาปรากฏอย่างรวดเร็วเช่นนี้
บางท่านอาจจะแย้งว่าถ้าผลแห่งกรรมชั่วปรากฏแก่ ส.สงสมชายเช่นนี้ ทำไมนักการเมืองคนอื่นๆ ซึ่งทำผิดทำชั่วพอๆ กันซึ่งมีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบาย ไม่เห็นมีผลแห่งกรรมชั่วใดๆ เกิดขึ้นกับเขาเหล่านั้นเอาเสียเลย ข้อนี้คิดว่าคนชั่วเหล่านั้นอาจจะยังไม่ถึงวาระที่กรรมชั่วจะมาปรากฏผลเขาจึงสุขสบายอยู่ได้ สักวันหนึ่งข้างหน้าเขาย่อมหนีกรรมไม่พ้นแน่ แต่คนเหล่านั้นจะเผชิญกับวิบากกรรมอย่างไรย่อมยากที่จะบอกได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ รับรองว่าต้องทุกข์ทรมานแสนสาหัสอย่างไม่ต้องสงสัย
ที่มาและการอ้างอิง
วาระสุดท้ายของกรรมชั่ว – นที ลานโพธิ์ เรียบเรียง