ถ้ามีคนมาถามว่าเชื่อเรื่องกรรมหรือไม่ ผมจะตอบทันทีว่า “เชื่อ” ที่ตอบอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะโมเมตอบอย่างไร้เหตุผล เพราะหากอาศัยหลักคำสอนทางพุทธศาสนา พระองค์ได้ทรงตรัสสอนเรื่องกรรมไว้หลายแห่งหลายตอน ทั้งที่เป็นธรรมะล้วนๆ และที่มีนิทานเปรียบเทียบ แต่ทั้งสองวิธีนี้ พระองค์ทรงชี้แจงเหตุผล จนเป็นที่เชื่อถือได้ ในนิทานธรรมบทฉบับนี้ ผมจึงขอใคร่ขอเอาเรื่องที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเหล่าภิกษุเรื่องกรรมมาเสนอต่อท่านผู้อ่านทั้งหลาย เรื่องนี้มีชื่อในพระธรรมบทว่า “นายจุนทสูการิก” แต่ขอเรียกเพื่อเพิ่มความตื่นเต้นว่า “เรื่องเพชฌฆาตฆ่าหมู” เนื้อเรื่องมีดังต่อไปนี้
ในครั้งพุทธกาล มีชายคนหนึ่งชื่อ “จุนทสูการิก” เขามีอาชีพฆ่าหมู ทั้งฆ่าเพื่อกินและเพื่อขาย เขาประกอบอาชีพนั้นมาเป็นระยะเวลา 55 ปีแล้ว เมื่อถึงคราวข้าวยากหมากแพง เขาก็จะเอาข้าวเปลือกใส่เกวียนเต็มแล้วนำไปสู่ชนบท เพื่อจะเอาไปแลกลูกหมูบ้านกับชาวบ้านในชนบท พอได้ลูกหมูเต็มเกวียนแล้วก็นำกลับมาบ้าน มาถึง ก็จัดการล้อมที่หลังบ้านทำเป็นคอกเลี้ยงหมู เอาลูกหมูเหล่านั้นปล่อยเลี้ยงไว้ที่นั่น ปลูกพืชผักให้หมูกินไว้ด้วย
เขาเลี้ยงด้วยวิธีธรรมชาติ คือ ให้ลูกหมูกินผักที่ปลูกไว้ หรือไม่ก็ให้กินอุจจาระที่คนในบ้านไปถ่ายทิ้ง เขาเลี้ยงด้วยวิธีนั้นจนลูกหมูเหล่านั้นเติบใหญ่ ถ้าเขาต้องการจะฆ่าตัวไหนก็จับมามัดไว้ ที่ฆ่าแล้วเอาฆ้อนสี่เหลี่ยมมาทุบตามลำตัว เพื่อจะให้เนื้อหมูพองขึ้น เมื่อเห็นว่าเนื้อหมูพองได้ที่แล้ว เขาก็เหงาปากหมู เอาท่อนไม้สอดไว้ แล้วกรอกน้ำร้อนที่เดือดพล่านลงไป เพื่อจะให้หมู่ขับถ่ายของเสียในท้องออกมา เขาจะสังเกตน้ำที่หมูถ่ายออกมา ถ้าน้ำยังขุ่นแสดงว่า ในท้องยังมีของเสียอยู่ กรอกเข้าไปอีกจนกว่าหมูถ่ายน้ำออกมาใส ไม่ขุ่น นั่นแสดงว่าในท้องไม่มีของเสียเหลืออยู่แล้ว จากนั้นเขาก็เอาคบไฟมาเผาตามลำตัวหมูเพื่อเผาขน จัดการลอกหนังดำๆ ออกหมด แล้วก็เอาดาบคมกริบมาตัดหัว เอากะละมังมารองเลือดหมูที่พุ่งกระฉูดออกมา จากนั้นก็จัดการแล่เนื้อหมู เอามาคลุกเคล้ากับเลือดที่รองไว้ เสร็จแล้วก็เอาไปประกอบอาหารกิน ส่วนที่เหลือก็นำไปขาย เขาทำอยู่อย่างนี้มาเป็นเวลา 55 ปี
เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารใกล้ๆ บ้านนายจุนทสูการิกผู้นั้น ก็ไม่เคยทำการบูชาพระองค์ แม้ว่าจะด้วยดอกไม้สักกำ หรือถวายทานทัพพี แม้แต่บุญอย่างอื่นเขาก็ไม่เคยทำ
ต่อมา เขาเกิดล้มป่วยลงด้วยอาการประหลาด คือ ร้อนภายใน ความเร่าร้อนปานไฟในมหานรกอเวจีปรากฏแก่เขาทั้งที่ยังมีชีวิต เชื่อกันว่าความเร่าร้อนในอเวจีมหานรกนั้นสามารถทำลายดวงตา ผู้ที่ยืนมองอยู่ในที่ไกลถึงร้อยโยชน์ได้ เมื่อความเร่าร้อนอย่างนั้นปรากฏแก่เขาแล้ว อาการอันสมควรแก่กรรมของเขาก็เกิดขึ้น เขาร้องไห้เหมือนหมู แล้วคลานวนไปมาอยู่ภายในบ้าน ลูกเมียของเขาเห็นอย่างนั้นก็จับเขามัดไว้แล้วเอามืออุดปาก ทว่า ผลแห่งกรรมไม่มีผู้ใดสามารถห้ามได้ ในจุนทสูการิกเที่ยวร้องไห้ครวญครางและคลานไปมาอยู่อย่างนั้น จนคนบ้านใกล้เรือนเคียงระยะเจ็ดหลังคาเรือนพลอยไม่ได้หลับไม่ได้นอนไปด้วย เพราะรำคาญเสียงร้องของเขา ฝ่ายลูกเมียของเขาเมื่อไม่สามารถจะห้ามไม่ให้เขาออกไปข้างนอกได้ จึงปิดประตูบ้าน แล้วล้อมเขาอยู่ข้างนอก เขาร้องไห้ครวญครางและคลานไปมาเหมือนหมูอยู่ 7 วัน วันที่ 8 ก็เสียชีวิตลง แล้วไปบังเกิดในนรกอเวจี
แต่ในวันหนึ่ง ขณะที่เขาร่ำร้องอยู่นั้น พวกภิกษุได้เดินผ่านไปทางบ้านเขา ได้ยินเสียงร้องของเขาก็คิดว่าเป็นเสียงหมู จึงเดินผ่านไปสู่พระวิหาร ไปนั่งในสำนักของพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่บ้านของนายจุนทสูการิก มีเสียงหมูร้องอยู่ 7 วันแล้ว สงสัยที่บ้านนั้นจะมีงานมงคลอะไรสักอย่าง ถึงได้ฆ่าหมูตลอด 7 วัน ข้าพระองค์ไม่เคยเห็นสัตว์ผู้หยาบช้าร้ายกาจอย่างนั้น ฆ่าหมูอยู่ได้ถึง 7 วัน เขาช่างไม่มีความเมตตากรุณาเสียบ้างเลย”
พระพุทธเจ้าได้สดับดังนั้นก็ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย นายจุนทสูการิกไม่ได้ปิดประตูฆ่าหมูตลอด 7 วันอย่างที่พวกเธอเข้าใจหรอก แต่ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะความเร่าร้อนในอเวจีมหานรกปรากฏแก่เขาทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาร้องไห้เหมือนหมูแล้วคลานไปมาอยู่ภายในเรือนตลอด 7 วัน วันนี้เป็นวันที่ 8 เขาได้ตายไปแล้ว และตอนนี้ก็ได้ไปบังเกิดในอเวจีมหานรก
พวกภิกษุได้ทราบดังนั้นก็ทูลถามว่า “เขาเศร้าโศกอยู่ในโลกนี้แล้วจะยังไปเศร้าโศกในอีกโลกนึงหรือพระเจ้าข้า”
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “ใช่แล้ว ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าคนประมาท จะเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม ย่อมเศร้าโศกอยู่ในโลกทั้งสองเป็นแน่แท้”
ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็ยังได้ตรัสพระคาถาสุภาษิตนี้ว่า อิธ โสจติ เปจจะ ปาปการี อุภยุตถะ โสจติ โส โสจติ วหัญญติ ทิสวา กัมมกิลิฏฐมัตตโน.
(ผู้ทำบาปเป็นปกติ ย่อมเศร้าโศกในโลกนี้ ละไปแล้วก็ย่อมเศร้าโศก เขาย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสอง เห็นกรรมที่ตนทำไว้แล้วย่อมเศร้าโศก และรู้สึกเดือดร้อน)
จากนิทานธรรมบทข้างต้นนี้รวมกับธรรมะข้ออื่นๆ ทำให้ผมปักใจเชื่อว่า กรรมมีจริง และผลของกรรมมีจริง แต่เรื่องนี้เป็นเพียงอุทาหรณ์เรื่องหนึ่งเท่านั้น ได้เกิดขึ้นในครั้งพุทธกาล ซึ่งทั้งผมและผู้อ่านทั้งหลายเกิดไม่ทัน ไม่ได้เห็นด้วยตา แต่ใจอย่างไรก็ตามเรื่องทำนองนี้ก็เคยมีปรากฏแม้ในยุคปัจจุบัน และตัวผมเองเคยได้เห็นด้วยตามาครั้งหนึ่ง ซึ่งจะขอนำมาเล่าเสริมไว้ต่อไปนี้
ในวัยเด็ก ผมใช้ชีวิตอยู่ที่ชนบท ช่วงหนึ่งของชีวิตได้ติดตามพี่ชายขึ้นไปบุกเบิกที่ทำกินใหม่ในป่าดงดิบ ซึ่งตอนนั้นยังอุดมไปด้วยป่าไม้และสัตว์ป่านานาชนิด พวกเราไปกันหลายคน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน ไปที่นั่นด้วยวัตถุประสงค์เดียวกัน คือ ต้องการบุกเบิกที่ทำกินใหม่ ขั้นตอนในการบุกเบิกของเราก็เหมือนนักบุกเบิกรุ่นก่อนๆ กล่าวคือ เริ่มจากการถางป่าโค่นไม้ทำสภาพป่าให้เป็นไร่และค่อยๆพัฒนามาเป็นส่วนเป็นมา
เริ่มแรกก็ต้องแย่งชิงความเป็นเจ้าถิ่นกับสัตว์ป่านานาชนิด บางชนิดเมื่อถูกมนุษย์ผู้ประเสริฐกว่าบุกรุกก็พากันอพยพหลบไปเสียโดยดี แต่บางชนิดก็กำลังทำการโต้ตอบตามแบบถนัด ที่ร้ายกาจก็จะทำร้ายให้ถึงชีวิตได้ ส่วนที่ไม่ร้ายกาจเกินไปก็บุกรุกที่ทำกินของพวกเราเป็นการตอบแทน สร้างความเสียหายโดยย่ำยี กัดกิน ทำลายพืชผักที่เราปลูกไว้ ซึ่งสรุปแล้วว่าโดยส่วนใหญ่ สัตว์ป่าไม่ค่อยมีประโยชน์กับชาวไร่รุ่นบุกเบิกอย่างพวกเราในทางตรงกันข้าม มีโทษต่อกันเสียมากกว่า
พวกเราเดินทางขึ้นไปบุกเบิกที่ทำกินใหม่ในป่าดงดิบแห่งนั้นหลายคน ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นกลุ่มคนกลุ่มแรกที่เดินทางไปอยู่ที่นั้น กลุ่มคนกลุ่มแรกนั้นมีสมาชิก 10 กว่าคน ซึ่งสนิทสนมกันดีทั้งนั้น ผมรู้จักทุกคนและทุกคนก็รู้จักมักคุ้นกันมาตั้งแต่เมื่ออยู่ในหมู่บ้าน ครั้งแรกๆ ที่พวกเราไปบุกเบิก เริ่มถางป่าโค่นไร่ เราก็จะอยู่กันเป็นกลุ่มๆ ทำงานกันเป็นกลุ่มๆ ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้ช่วยกันป้องกันภัยจากสัตว์ป่า แต่เมื่อต่อสู้จนสัตว์ป่าเจ้าถิ่นอพยพหลบถอยไปหมดแล้ว พวกเราก็แบ่งที่ทางที่บุกเบิกได้ออกมาเป็นส่วนๆ ส่วนของใครของมัน
ในกลุ่มคนรุ่นบุกเบิกบ้านไร่แห่งนั้น ผมรู้จักทุกคนดี แต่คนที่ผมสนิทสนมและจดจำเรื่องราวของเขาได้มากที่สุด ก็เห็นเป็นน้าฟอง ตอนนั้นน้าฟองมีอายุ 30 เศษๆ แต่งงานมีครอบครัว มีลูกแล้ว ลูกเมียแกอยู่ที่หมู่บ้าน น้าฟองเป็นคนเงียบขรึมและขยันขันแข็ง ดูเหมือนในกลุ่มพวกเราแกจะเป็นคนขยันมากที่สุด แกไม่ค่อยพูดจากับใคร แต่เป็นคนโมโหร้าย มุทะลุ เพราะความขยัน น้าฟองแกจึงทำไร่ได้มากกว่าเพื่อนทุกปี และปลูกพืชผักได้ปริมาณมากกว่าใครทุกฤดู ในไร่ของแกมีพืชผักเกือบทุกชนิด มีทั้งไม้ยืนต้นและล้มลุก เเกปลูกพืชทั้งหวังผลระยะสั้นและระยะยาว พวกหวังผลระยะยาว ได้แก่ พวกต้นไม้ประเภท ยางพารา มะพร้าว มะม่วงหิมพานต์ ผลหมากรากไม้ต่างๆ ส่วนที่หวังผลระยะสั้นก็ ได้แก่ พวกพริกขี้หนู ข้าวโพด มันสำปะหลัง มะเขือ ฟักแฟง แตงกวา อะไรพวกนี้
ทว่าพืชทุกชนิดที่แกปลูกจะถูกบุกรุกทำลายโดยสัตว์ป่าต่างชนิดกัน เช่น มันสําปะหลัง พริกขี้หนู และพืชล้มลุกอื่นๆ ถูกพวกหมูป่า เม่น มาบุกรุกทําลายยามกลางคืน ส่วนพวกข้าวโพด มะเขือ ก็ถูกพวก กระรอก กระแต ลิง ค่าง มาทำร้ายตอนกลางวัน โดยเฉพาะลิง สร้างความเสียหายให้กับชาวไร่มากที่สุด เพราะศักยานุภาพในการทำลายของมันมีสูงมาก อย่างข้าวโพด มันสามารถหักทำรายได้วันละเป็นร้อยไร่ๆ เพราะเหตุนี้เอง ไร่ของน้ำฟองจึงได้รับความเสียหายจากพวกลิงมากที่สุด แกจึงจงเกลียดจงชังเจ้าสัตว์ทโมนพวกนี้เอามากๆ แกพยายามจะทำลายพวกมันทุกวิธี สะดวกยิงยิง ดับกับดักแร้วได้ ดัก บางครั้งก็ดักบ่วง ด้วยความพยายามและความตั้งใจจะทำลายของน้าฟอง ลิงจำนวนไม่น้อยจึงต้องมาเสียชีวิตในไร่ของแก ที่ยิงตายไปก็มาก ที่ดักกับดักแร้วได้ มาฆ่าเสียก็ไม่น้อย
น้าฟองจัดการกับลิงที่จับมาได้ด้วยวิธีที่โหดร้าย ผมเคยเห็นกับตาแกจับลิงมาได้แล้ว ก็ตัดมือมันทั้งยังเป็นๆ ตัดทั้งสองข้างบ้าง ข้างเดียวบ้าง แล้วปล่อยกลับเข้าสู่ป่า แกบอกว่า ไอ้ลิงพวกนี้มือบอน ตัดมือแล้วปล่อยไปเพื่อให้เพื่อนๆ มันเห็นว่า การบุกรุกเข้ามาทำร้ายข้าวของของมนุษย์นั้นอันตรายอย่างไร บางครั้ง ผมเห็นลิงวิ่งหนีไป เลือดไหลเป็นทาง น้าฟองทําอยู่อย่างนั้นจนพวกลิงซาลง ไม่ค่อยมารบกวนไร่ของแก
ต่อมา เมื่อพวกเราไปบุกเบิกป่าแห่งนั้น จนชนะ เป็นเจ้าถิ่นแทนสัตว์ป่าได้ครึ่งนึงแล้ว ก็มีกลุ่มคนอีกกลุ่มเดินทางขึ้นไป พวกเขาเป็นพวกทำไม้ ได้ข่าวว่า มีเถ้าแก่ในเมืองคนหนึ่งสัมปทานตัดไม้ในป่าแห่งนั้นได้ พวกทำไม้ที่เป็นลูกน้องของเขาจึงเดินทางขึ้นไปพร้อมกับเครื่องมือทำไม้มากมายทั้งเล็กทั้งใหญ่ พวกชาวไร่รุ่นบุกเบิกอย่างพวกเราจึงมีอาชีพเสริมขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง คือ ยามว่างจากรายงานไร่ ก็ไปเป็นลูกจ้างของพวกทำไม้ บางคนก็มีหน้าที่เป็นผู้นำทางเข้าป่าหาต้นไม้ใหญ่ๆ บางคนก็ช่วยเขาเลื่อยไม้ ช่วยแบกหามเคลื่อนย้ายไม้ที่เลื่อยเสร็จแล้ว
น้าฟองก็ไปเป็นลูกจ้างทำไม้กับเขาด้วย แกได้หน้าที่ส่งไม้เข้าเลื่อยกับเครื่องวงจันทร์ วันหนึ่ง ไม่ทราบว่าแกทำอีท่าไหน เครื่องเลื่อยวงจันทร์จึงตัดมือแกขาดไปข้างหนึ่ง ผมเห็นแก้พามือด้วนที่เลือดไหลกระฉูดออกมา พวกตัดไม้โกลาหลกันใหญ่แต่ใครช่วยอะไรไม่ได้ เมื่อของน้าฟองขาดกระเด็นไปตกอยู่ห่างพอสมควร น้าฟองถูกนำตัวส่งโรงหมอเป็นการด่วน แต่แม้ว่าระยะไกลและทุรกันดาร เมื่อไปถึงหมอ ก็สามารถรักษาบาดแผลให้หายได้ แต่แกก็กลายเป็นคนมือด้วนมาตั้งแต่นั้น ตอนที่เห็นเครื่องเลื่อยวงจันทร์ตัดมือน้าฟอง ผมไม่ได้คิดอะไรมาก และเห็นตามที่ทุกคนว่า คือ เป็นอุบัติเหตุ แต่เมื่อเติบโตขึ้นได้เรียนรู้และพบเห็นอะไรมากขึ้น กลับมีความคิดไปอีกทาง ระยะหลังกลับคิดว่า นั่นคงเป็นเพราะกรรมที่น้าฟองทำให้กับลิงพวกนั้น เพราะตอนที่แกพามือด้วนเปื้อนเลือดแดงสดๆ ออกมาจากวงเลื่อย ไม่ต่างอะไรกับลิงมือด้วนที่แกตัดมือแล้วปล่อยให้กลับเข้าป่า เลือดไหลไปเป็นทาง
ที่มาและการอ้างอิง
กรรมอุทาหรณ์ ชุด 3 ผู้เขียน ฉลอง เจยาคม