วันพุธ, 11 ธันวาคม 2567

กรรมที่ทำไว้กับหมา ก็ต้องจบชีวิตเหมือนหมา

เพื่อนคนที่ข้าพเจ้ากำลังจะเขียนถึงนี้มีชื่อว่า “ดนัย” แต่ข้าพเจ้าตลอดจนคนที่สนิทสนมกับเขามากๆ จะเรียกเข้าทรงสั้นๆ “ไอ้นัย” ข้าพเจ้ากับไอ้นัยมีอายุเท่ากัน คือ เกิดในปี พ.ศ เดียวกัน ห่างเดือนกันนิดหน่อย เพราะเหตุนี้เองเราจึงได้เข้าโรงเรียนพร้อมกัน และก็บังเอิญได้เรียนห้องเดียวกันเสียด้วย ความจริงแล้ว ข้าพเจ้ากับไอ้นัยรู้จักกันตั้งแต่พอจำความได้ เพราะบ้านเราอยู่ต่อสดมภ์กัน ข้าพเจ้าจำไม่ได้หรอกว่า เราเริ่มรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอจำความได้ ข้าพเจ้ากับไอ้นัยก็เป็นเพื่อนเล่นกันแล้ว ไอ้นัยเป็นลูกป้านวล ลุงเพียน มันมีพี่น้องทั้งหมด 4 คน มันเป็นคนเล็กสุด

 

 

ไอ้นัยเป็นคนค่อนข้างจะเอาแต่ใจตัวเอง และชอบเล่นอะไรแผลงๆ มีหลายครั้งที่การเล่นแผลงๆ ของมันได้สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นๆ โดยเฉพาะคนในครอบครัวของมัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง บ้านของมันเกือบจะถูกไฟไหม้เป็นจุล เพราะมันเอาน้ำมันก๊าดมาจุดไฟเล่น ไอ้นัยได้ชื่อว่าเป็นผู้คิดค้นวิธีเล่นอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ อยู่เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้ากับมันและเพื่อนๆ เด็กใกล้ๆ บ้านเล่นอยู่ด้วยกัน เราเล่นถีบนั่ง คือ จะเล่นถีบกัน ใครถีบใครก็ได้ จะถีบแรงขนาดไหนก็ได้ แต่มีข้อแม้อยู่ว่า ห้ามถีบขณะที่เขาคนนั้นนั่ง เพราะเหตุนี้จึงมีคนชอบนั่ง หรือบางคนยืนอยู่ดีๆ แต่พอเห็นเพื่อนแวบเข้ามา ก็จะรีบนั่งเสีย พวกเราเล่นถีบนั่งกันอยู่เพลินๆ ไอ้นัยก็เป็นฝ่ายบอกเลิก

“ไม่เอา ข้าไม่เล่นแล้ว”

“ทำไมวะ กำลังสนุกกันอยู่เชียว” ไอ้เมฆเด็กข้างบ้านถาม

“ข้าเบื่อว่ะ เล่นกันอยู่ได้ทุกวัน หาอย่างอื่นเล่นบ้างดีกว่า”

“จะเล่นอะไรล่ะ” เพื่อนอีกคนถาม

“เล่นอะไรก็ได้ ที่มันไม่จำเจซ้ำซากอย่างนี้น่ะ”

 

พวกเรามองหน้ากันเหลือกหลาก ด้วยหวังจะให้อีกคนคิดหาการเล่นที่มันแปลกใหม่ๆ ขณะที่หยุดคิดกันอยู่นั้น พอดีมีหมาตัวหนึ่งเดินผ่านมา มันเพิ่งลุกจากนอนคลุกฝุ่นอยู่ใต้ถุนบ้าน จึงเดินออกมาในอาการงัวเงีย ไอ้นัยหันไปเห็นเข้า ก็หันกลับมาบอกพวกเราว่า

“เฮ้ย ข้านึกออกแล้ว”

ทุกคนหันไปมองมันด้วยความสนใจ

“เล่นอะไรวะ”

“เอ็งเห็นหมานั่นไหม” ไอ้นัยชี้ให้พวกเราดูหมาตัวนั้น

ทุกคนมองไปที่หมาตัวนั้น แล้วไอ้นัยก็บอกว่า “เห็นมันเดินหงอยๆ อย่างนั้น ข้าารำคาญตาหว่ะ”

“แล้วเอ็งจะทำอะไรมันวะ” ข้าพเจ้าถาม

“พวกเอ็งคอยดูแล้วกัน” ว่าแล้วไอ้นัยก็เดินไปที่กองขยะข้างบ้าน ซึ่งมีเศษวัสดุพวกกระป๋องนม ถุงพลาสติก และภาชนะที่ใช้แล้วหลายอย่างถูกนำไปทิ้งรวมกันไว้

ไอ้นัยเก็บกระป๋องนมมา 3-4 กระป๋อง จากนั้นก็หาเชือกฟางมาเส้นนึง มันพาของทั้งหมดมาที่พวกเรายืนอยู่ มาถึงก็วางกระป๋องลงวิ่งกลับขึ้นไปบนบ้าน มันหายไปสักพักก็กลับลงมาพร้อมกับค้อนตอกตะปูกับตะปู 3-4 ตัว

“เอามาทำอะไรวะ” ข้าพเจ้าถามด้วยความสงสัย

“เอ็งคอยดูเอาก็แล้วกัน” ไอ้นัยว่าแล้วก็จัดการเอาตะปูตอกเข้ากับก้นและฝากระป๋องนม มันเจาะกระป๋องเป็นรูสองรูรับกัน จากนั้นก็เอาเชือกฟางที่เตรียมมาร้อยกระป๋องทั้ง 4 ลูกเข้าเป็นพวง

“เอ็งจะทำอะไรวะ” ไอ้เวกถามอย่างไม่สิ้นสงสัย ข้าพเจ้าและเพื่อนคนอื่นๆ ก็ให้แปลกใจ

 

ไอ้นัยไม่ตอบ หันไปส่งเสียงจุ๊ๆ เรียกหมาขี้เซาที่เพิ่งตื่นจากนอนซึ่งตอนนั้นมายืนเกาหมัดอยู่ที่ลานดินหน้าบ้าน ด้วยความคุ้นเคยพอได้ยินเสียงเรียกจุ๊ๆ หมาตัวนั้นก็เดินเข้ามาหาไอ้นัยอย่างแสนรู้ พอมาถึงก็หยุด กระดิกหางร้องหงิงๆ เหมือนจะถามว่า “เจ้านายเรียกฉันมาทำไม” ไอ้นัยไม่ได้ตอบมันหรอกว่าเรียกมาทำไม แต่จัดการเอากระป๋องนมที่ผูกไว้เป็นพวงผูกเข้ากับหางหมาตัวนั้น จากนั้นก็ไล่ให้มันวิ่ง

“ไป ไป วิ่งไป” ไอ้นัยไล่พลางเอามือตบหลังหมาแรงๆ แต่หมาขี้เซาตัวนั้นยังยืนเฉย

 

ไอ้นัยเห็นไม่ได้ดั่งใจก็เตะโครมเข้าให้ ได้ผล หมาขี้เซาวิ่งออกไปทันที และพอมันเริ่มออกวิ่งกระป๋องที่ผูกติดงานก็ส่งเสียงกระทบกันดังป๋องแป๋ง เจ้าหมาขี้เซาตกใจหันมาดู พอเห็นมีอะไรติดหางตัวเองอยู่ก็รีบวิ่งใหญ่คงหมายจะให้ของสิ่งนั้นหลุดออกไป แต่ไอ้นัยผูกไว้แน่น หมาตัวนั้นยิ่งวิ่งเร็วเท่าไหร่ กระป๋องก็ยิ่งดังรัวขึ้นเท่านั้น ทำให้หมายิ่งตกใจได้ยิ่งวิ่งเร็วเข้าอีก

 

ไอ้นัยและเพื่อนๆ รวมทั้งข้าพเจ้าหัวเราะชอบใจ พลางวิ่งตามหมาตัวนั้นไปเพื่อไปดูใกล้ๆ ของเล่นแปลกใหม่อันเป็นผลจากการคิดค้นของไอ้นัยสร้างความสนุกสนานให้กับเพื่อนๆ ได้มากจริงๆ และตั้งแต่วันนั้นมา ไม่ทราบว่าไอ้นัยไปติดใจอะไรกับการแกล้งหมา มันจึงได้พยายามคิดค้นการแกล้งหมาด้วยวิธีการใหม่ เพื่อสร้างความสนุกสนานและสะใจให้กับตัวเองมาเรื่อย

 

อย่างเช่นวันนั้น ขณะนี้ที่เดินทางกลับจากโรงเรียนด้วยกัน ไอ้นัยแวะที่ร้านขายของชำหน้าโรงเรียน เพื่อซื้อลูกประทัดมาชุดหนึ่ง ครั้งแรกข้าพเจ้าให้แปลกใจ ไม่ทราบว่ามันซื้อมาทำไม แต่พอถึงบ้าน หลังจากเปลี่ยนชุดนักเรียนเรียบร้อยแล้ว และออกไปเล่นกับเพื่อนๆ ที่ลานหญ้าข้างบ้านไอ้นัยก็หายสงสัย เพราะเห็นไอ้ชัยจูงหมาที่บ้านมันมาตัวหนึ่ง มันบอกข้าพเจ้าตอนหลังว่า ไอ้นัยสั่งให้เอามา เพราะว่าหมาที่บ้านไอ้นัยมันไม่กล้าเข้าใกล้ไอ้นัยแล้ว จึงต้องเอาหมาจากที่อื่นมา

 

หมาน้อยแสนซื่อตัวนั้นไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ยืนให้ไอ้นัยเอาลูกปะทัดผูกหาง และพอพูดเสร็จ ไอ้นัยก็จัดการจุดลูกประทัด พอลูกประทัดระเบิดหมาตัวนั้นตกใจวิ่งหนีพัลวัน พวกเราวิ่งตามไปดูกันด้วยความสนุกสนานโดยเฉพาะไอ้นัย ดูท่าทางมันสนุกสนานและสะใจมากกว่าใคร

 

ไอ้นัยพัฒนาเรื่องการเล่นทรมานหมาไปเรื่อยๆ เช่น ตอนที่พี่หวานลูกสาวลุงหว่างคนท้ายหมู่บ้านแต่งงาน กลุ่มของเราอันได้แก่ข้าพเจ้า ไอ้นัย ไอ้เวกลูกลุงหว่างเจ้าภาพ ไอ้ชัย และเพื่อนในกลุ่มเดียวกันอีกหลายคน ก็ไปรวมกันที่นั่น วิ่งเล่นกันสนุกสนานตามภาษาเด็กบ้านนอก พอตกเย็นพวกเราออกมารวมกลุ่มเล่นกันอยู่ที่สนามเลี้ยงควายหน้าบ้านลุงหว่าง ไอ้นัยคิดใช้วิธีทรมานหมาแบบใหม่อีก เพราะดูท่าทางมันจะติดอกติดใจกับการทรมานหมาเอามากๆ จึงพยายามพัฒนาความคิดการทรมานมาเรื่อยๆ วันนั้นพอดีที่งานตาหว่างเขาใช้เครื่องปั่นไฟ และเครื่องปั่นไฟสมัยนั้นยังต้องใช้น้ำมันเป็นตัวให้กำเนิดไฟ

“เราหาอะไรสนุกๆ เล่นกันดีกว่า” ไอ้นัย เจ้าตำรับการเล่นทรมานหมา เริ่มชวนพรรคพวก

“คงจะเล่นอะไรแผลงๆ กับหมาอีกละสิ”  ข้าพเจ้าทาย

“แต่ไม่ใช้แบบเก่านะเว้ย” มันว่าตาเป็นมัน “คราวนี้คงจะสนุกกว่าเก่ามาก เอ็งคอยดูก็แล้วกัน”

“เอ็งจะทำอย่างไรกับหมาวะ” ไอ้เวกเดินเข้ามาถามด้วยความสนใจ

“ข้ายังไม่ตอบ เอ็งช่วยข้าก่อนสิ”

“จะให้ข้าช่วยทำอะไร”

“เอ็งไปเอาน้ำมันเบนซินไม้ให้ข้าหน่อยสิ”

“จะให้ข้าไปเอาที่ไหนวะ”

“ไอ้โง่เอ๊ย ก็ที่ในงานไงเล่า ไอ้เครื่องปั่นไฟน่ะ เขาใช้น้ำมันเบนซินไม่ใช่หรอ เขาคงเตรียมสำรองไว้อีกหลายแกลลอน เอ็งเป็นลูกเจ้าของงานไปเอามา เขาคงจะไม่ว่าอะไรหรอก”

“แล้วเอ็งจะให้ข้าเอามาทำอะไรวะ”

“เอ็งไปเอามาก่อนเถอะน่า”

ไอ้เวกเดินกลับเข้าไปในงาน เอาน้ำมันเบนซินมากระป๋องใหญ่มาถึงก็ยื่นให้ไอ้นัย

“ใจเย็นนา แล้วเองก็ได้เห็นเองล่ะ”

ไอ้ไหนว่าแล้วก็สอดส่ายสายตามองหาอะไรสักอย่าง

“หมา หมาไงพวก มันจะทำให้พวกเราสนุกสนานกัน”

“ไม่มีหมาตัวไหนกล้าเข้าใกล้เองอีกแล้วล่ะ” ไอ้ชัยว่า

ซึ่งมันก็เป็นความจริง ไอ้นัยกลายเป็นสิ่งที่หมากลัวและไม่กล้าเข้าใกล้ หมาตัวไหนเห็นก็รีบวิ่งหนีหางจุกตูด ก็เพราะความชอบเล่นพิเรนกับหมาของมันนั่นแหละ มันจึงกลายเป็นตัวอันตรายสำหรับหมา

“งั้นเอ็งไปจัดการหาหมามา”  ไอ้นัยชี้มาที่ไอ้ชัย

“ข้าอีกแล้วหรือ” ไอ้ชัยโอดครวญ

“เออสิวะ ก็เอ็งมันถูกโฉลกกับหมานี่หว่า”

ไอ้ชัยกลับเข้าไปในงาน มันหายไปสักพักก็กลับออกมาพร้อมกับจูงหมามาด้วยตัวหนึ่ง

“เอ็งจับมันได้ยังไงวะ” ไอ้เวกถามด้วยความแปลกใจในความชาญฉลาดเรื่องการจับหมาของไอ้ชัย เพราะเห็นมันหายไปเพียงเดี๋ยวเดียวก็ได้หมากลับมา

“ก็จะไปยากอะไร เอากระดูกโยนไปให้มัน พอมันเพลินกับกระดูกก็จัดการเอาเชือกผูกและจูงมาก็แค่นั้น”

ได้หมามาแล้ว ไอ้นัยก็จัดการเอาน้ำมันเบนซินที่เตรียมไว้ราดลงบนตัวหมาจนเปียกชุ่ม แล้วก็เอาไฟเผา

พอไฟลุกท่วม หมาตัวนั้นก็วิ่งร้องเอ๊งๆ เข้าไปในงาน ผู้คนในงานแตกตื่นกันใหญ่ เพราะเห็นหมาวิ่งไฟท่วมตัวมาก็ตกตะลึง ร้องถามกันเซ็งแซ่

 

“ใครไปทำอะไรมันวะ”

พวกเราวิ่งตามเข้าไปในงาน ไอ้นัยเห็นหมาวิ่งอย่างทุรนทุรายก็หัวเราะอย่างชอบใจ ผู้ใหญ่จึงเดินเข้ามาถามพวกเราว่า

“พวกเอ็งไปทำมันใช่ไหม”

“ผมเปล่านะ” ไอ้เวกปฏิเสธก่อนใคร

“งั้นก็คงเป็นเอง” พวกเขาหันมาทางข้าพเจ้า

“ผมก็เปล่านา”

“งั้นใครเป็นคนทำ”

“ไอ้นัย” พวกเราตอบพร้อมเพรียงกัน

“ข้านึกอยู่แล้วเชียวว่าต้องเป็นไอ้เด็กเวรนี่อีก เอ็งมันผีส่งมาเกิดแท้ๆ เป็นคนเสียเปล่า แต่ใจโหดใจหินผิดผู้ผิดคน สักวันหนึ่งเถอะกรรมจะต้องตามสนองเอ็ง” ยายอุ่น คนแก่วัดแก่วา หันไปฉอดๆ ใส่ไอ้นัยแบบตั้งตัวไม่ทัน

“มันไปทำอะไรเองวะ เอ็งถึงได้เล่นกับมันแบบนี้”

ไอ้นัยไม่ตอบ ได้แต่ยืนหัวเราะอย่างชอบใจในผลงานของตัวเองจนป้านวลแม่มันเข้ามาลากออกไป และจัดการเฆี่ยนสั่งสอนเสียง 3-4 ที พร้อมกับสำทับว่า

“ถ้าเอ็งจะเล่นอะไรแผลงๆ อย่างนี้ ต่อไปข้าจะตีให้เลือดไหลเลย”

 

แต่เปล่าเลย คำขู่ของป้านวลไม่ได้ผล ไอ้นัยยังคงนิยมเล่นทรมานหมาอยู่อย่างนั้น และดูเหมือนว่า จะพัฒนาการทรมานออกไปด้วยเรื่อยๆ เป็นต้นว่า จับหมามาล่ามโซ่และเอาน้ำมันก๊าดราด จากนั้นก็จุดไฟเผา หมาวิ่งหนีไปไหนไม่ได้ ได้แต่ดิ้นเร่าๆ อยู่จนหมดเชื้อน้ำมัน ไฟดับไปเองและนั่นหมายถึงว่า ขนของมันถูกไฟไหม้หมดแล้ว เนื้อหนังก็พุพอง บางตัวก็เพียงกับตายไปเลย แต่มารระยะหลังๆ มันมักจะทำไม่ให้ผู้ใหญ่เห็น ส่วนใหญ่จะจับหมาออกมาทำไกลบ้าน

 

ความโหดร้ายเหมือนกับจงใจจองล้างจองผลาญชีวิตหมาของไอ้นัยเป็นที่รู้กันของผู้คนในหมู่บ้านเรา มันกลายเป็นตัวอันตรายสำหรับหมา หมาบ้านไหนที่ว่าดุ พอเจอไอ้นัย กลับวิ่งหนีหางจุกตูดทุกตัว ไอ้นัยได้รับคำสาปแช่งจากเจ้าของหมาที่ไปมันไปเล่นแผลงๆ มาไม่ใช่น้อย คนเฒ่าคนแก่บางคนถึงกับแช่งมันว่า

“ไอ้นี่มันต้องเป็นผีห่าแน่ๆ สักวันหนึ่งเถอะกรรมจะต้องตามทันมัน”

แต่จนแล้วจนรอด กรรมก็ไม่ปรากฏผลให้ไอ้นัยเห็น มันจึงเหิมเกริมกระทำการทรมานหมาต่อไป จนกระทั่งปีนั้น ข้าพเจ้าจำได้ว่า กำลังเรียนอยู่ในชั้นประถมปีที่ 5 ข้าพเจ้ากับไอ้นัยได้เลื่อนชั้นพร้อมๆ กัน จึงได้มาอยู่ชั้นเดียวกันทุกปี

 

เช้าวันนั้น ขณะที่พวกเราเดินไปโรงเรียนด้วยกัน ข้าพเจ้าจำได้ว่าวันนั้นมีเพื่อนร่วมทางไปด้วย 6 คน คือ ข้าพเจ้า ไอ้ชัย ไอ้เชิด น้องไอ้ชัยซึ่งกำลังเรียนอยู่ชั้น ป. 3 ไอ้เวก และมีแววน้องของมัน กำลังเรียนอยู่ชั้นป. 3 ห้องเดียวกับไอ้เชิด น้องไอ้ชัย และก็ไอ้นัย พวกเราออกจากบ้านมาถึงบนถนนลูกรังที่ตัดผ่านหน้าโรงเรียน ก็พบเพื่อนผู้หญิงซึ่งเรียนห้องเดียวกันอีก 3 คน คือเด็กหญิงละออ เด็กหญิงปราณี และเด็กหญิงชมพู่ ไอ้นัยมีความชอบพอเด็กหญิงชมพู่อยู่ พอเจอก็รีบตามติด และเดินหยอกล้อกันไปเรื่อยๆ

 

จนกระทั่งมาถึงสะพานแห่งหนึ่งซึ่งกำลังก่อสร้างใหม่ คือ สะพานเก่าเป็นไม้ล้วนๆ แต่ที่กำลังสร้างใหม่เป็นซีเมนต์อย่างดี ที่เชิงสะพานจึงมีหินทรายที่นำมาใช้ก่อสร้างกองอยู่หลายกอง บนกองทรายกองหนึ่ง มีหมาตัวหนึ่งนอนขดตัวอยู่ ไอ้นัยเห็นเข้าก็หันมาบอกพวกเราว่า

“เอ็งคอยดูนะ ข้าจะขึ้นไปเตะหมาตัวนั้นให้ดู”

มันว่าแล้วก็วิ่งไปที่หมา ข้าพเจ้าแปลกใจที่หมาตัวนั้นเห็นไอ้นัยแล้วก็ยังนอนขดอยู่ ซึ่งปกติถ้าเป็นหมาตัวอื่น พอเห็นไอ้นัยก็จะวิ่งหนีหางจุกตูดทันที ไอ้นัยวิ่งไปถึงก็เตะหมาโครมๆ หมาโชคร้ายตัวนั้นไม่ลุกหนีแต่อย่างใด แต่อ้าปากคำรามๆ ไอ้นัยเตะโครมเข้าไปที่มุมปากของมัน มันเตะอยู่หลายที จนข้าพเจ้ามองไม่ทัน หมาตัวนั้นคงจะทนความเจ็บปวดอยู่ต่อไปไม่ไหว จึงลุกขึ้นเดินหนีไปหงอยๆ

 

ไอ้นัยยืนหัวเราะชอบใจอย่างผู้ชนะ จากนั้นพวกเราก็เดินไปโรงเรียนกันต่อ ลืมบอกไปว่า วันนั้นพวกเราแต่งชุดนักเรียนกันเต็มยศ คือ สวมถุงเท้า รองเท้าผ้าใบ กันครบทุกคน ไปถึงโรงเรียน เข้าแถวเคารพธงชาติกันแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันเข้าห้องเรียนของตัวเอง จากนั้นก็ฟังครูสอนตามปกติ วันนั้นข้าพเจ้าสังเกตเห็นไอ้นัยนั่งทำท่าจะหลับอยู่ไปบ่อยๆ จึงถูกครูดุเอาหลายครั้ง จนกระทั่งถึงเวลาพักเที่ยง พวกเราลงไปทานอาหารกันที่โรงอาหาร แต่ไอ้นัยยังคงนอนหลับคาโต๊ะอยู่

 

ข้าพเจ้าไม่อยากรบกวนเพื่อนจึงลงไปทานก่อน และพอทานเสร็จกลับขึ้นมาในห้องเรียน ก็ยังเห็นไอ้นัยนอนหลับอยู่อย่างนั้น ให้แปลกใจจึงไปปลุกมันเท่าไหร่มันก็ไม่ตื่น ข้าพเจ้าพลิกหน้าเพื่อนดูเห็นเขียวคล้ำผิดปกติ จึงไปบอกครู ครูมาจัดการปลุกไอ้นัยตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ถามอะไรก็ตอบไม่รู้เรื่อง ครูลงความเห็นว่า เขาคงจะไม่สบาย เพราะคลำตัวดูแล้วร้อนผิดปกติ

 

ครูบอกว่าคงจะเป็นไข้ จึงให้พวกเราไปยุ่งพาไปที่ห้องพยาบาล ไปถึงก็ให้นอนที่เตียงพยาบาล ครูสั่งให้ถอดถุงเท้าของเขาออก ข้าพเจ้าเป็นคนช่วยถอดถุงเท้าและรองเท้าออกให้ ครั้นเมื่อถอดถุงเท้าออก ข้าพเจ้าแปลกใจที่เห็นเท้าข้างหนึ่งของเพื่อนเขียวคล้ำและบวมผิดปกติ จึงเรียนให้ครูทราบ ครูเดินเข้ามาดูแล้วสังเกตอยู่ครึ่งหนึ่ง ก็พบรอยแผล 2 แผลที่หลังเท้าของไอ้นัย ท่านหันมาถามข้าพเจ้าว่า

“เท้าเขาไปโดนอะไรมานี่” ครูถามพร้อมชี้ให้ข้าพเจ้าดูพี่แถวนั้น ข้าพเจ้าเห็นแล้วก็พยายามนึกว่า มันเป็นแผลอะไร เพราะดูแล้วมันเหมือนกับโดนอะไรกัด หรือไม่ก็โดนไม้ทิ่มตำ นึกๆ ไปก็จำได้ว่าเมื่อตอนเช้าเห็นเพื่อนขึ้นไปเตะหมาหลายครั้ง จึงรายงานให้ครูทราบ

“สงสัยเขาโดนเขี้ยวหมามั้งคับ”

“เขาโดนหมากัดมาหรือ” ครูถาม

“เปล่าหรอกครับ แต่เมื่อเช้าเขาไปเตะมาที่กองทรายระหว่างทาง ตอนหมาอ้าปากเขาคงจะเตะไปโดนเขี้ยวมันเข้า”  ครูพยักหน้าช้าๆ พร้อมพูดว่า “เป็นไปได้ งั้นหมาตัวนั้นก็คงจะเป็นหมาบ้า”

“หมาบ้า”

 

ข้าพเจ้าอุทานออกมาด้วยความตกใจ เพราะนึกถึงตอนที่เห็นหมาตัวนั้นลุกขึ้นเดินหนีไปอย่างหงอยๆ ใช่แล้วตอนนั้นอาการของมันเชื่องช้าผิดหมาธรรมดา อีกอย่างมันก็ไม่วิ่งหนี เมื่อเห็นไอ้ชัยขึ้นไปเตะ มันต้องเป็นหมาบ้าแน่ๆ เลย

 

ข้าพเจ้าปักใจเชื่ออย่างนั้น จึงเล่ารายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับลักษณะของหมาตัวนั้นให้ครูฟัง ครูพาไอ้นัยไปส่งสุขศาลา ให้หมอฉีดยาเสีย 2 เข็ม จากนั้นก็นำมาส่งที่โรงเรียน ส่งคนไปบอกทางบ้านของไอ้นัย เพื่อให้คนมารับมันกลับบ้าน เพราะว่าตอนนั้นให้ไอ้นัยเดินไม่ไหวแล้ว ตัวเขียวคล้ำ หน้าตาบวมอย่างกะคนเป็นไข้หนัก

พี่อนันต์ พี่ชายของไอ้นัย เป็นคนมารับไอ้นัย มาถึง ก่อนแกนำไอ้นัยกลับบ้าน ครูชี้แจงให้ฟังว่า

“เด็กชายดนัยโดนสุนัขบ้ากัด หมอสั่งให้นำไปฉีดยากันสุนัขทุกๆ วัน วันละ 1 เข็ม

 

พี่อนันต์รับปากจะนำเรื่องนั้นไปบอกให้ทางบ้านทราบ จะให้คนที่บ้านจัดการตามที่ครูแนะนำ ไอ้นัยถูกนำกลับไปบ้านในสภาพคนป่วย และคนที่บ้านของมันก็ทำตามที่ครูแนะนำ คือ นำมันไปฉีดยากันสุนัขบ้าที่สุขศาลาทุกวัน ทว่าฉีดยังไม่ทันครบกำหนดตามที่หมอสั่ง ก็เกิดน้ำท่วมหนักขึ้นที่หมู่บ้านเรา ครั้งนั้นน้ำท่วมใหญ่มาก ถนนหนทางหลายสายถูกกระแสน้ำตัดขาด สะพานในเมืองหลายแห่งหักสะบั้น การติดต่อระหว่างหมู่บ้านกับในเมืองจึงต้องหยุดชะงักลงชั่วคราว

 

ทางบ้านไอ้นัยไม่สามารถจะนำไอ้นัยไปฉีดยาได้ตามที่หมอกำหนด ต้องเว้นไปถึง 3 วันติดกัน และวันที่สามตอนบ่ายๆ ข้าพเจ้าไปเยี่ยมไอ้นัยที่บ้าน บ้านของไอ้นัยตั้งอยู่บนเนินสูง ติดกับสวนยางพารา น้ำจึงท่วมไม่ถึง ตอนสายๆ ของวันนั้นตอนที่ข้าพเจ้าไปเยี่ยมมัน เห็นมันนอนอยู่ที่แคร่ไม้ในห้องโถงใหญ่บนบ้าน ข้าพเจ้าเห็นอาการไข้มันขึ้นสูงมาก ถึงเพ้อไม่เป็นเรื่องเป็นราว พูดไม่รู้เรื่อง พ่อแม่ของมันตกใจกันใหญ่จะพาไปหาหมอก็ไปไม่ได้ เพราะน้ำท่วม อีกทั้งสะพานที่ข้ามไปในเมือง 2-3 แห่งโดนกระแสน้ำตัดขาด จึงได้แต่นั่งมองอาการทุรนทุรายของลูกอยู่ด้วยความทรมานใจ

 

ตอนบ่ายๆ ของวันนั้นเอง ข้าพเจ้าและทุกคนในบ้านของลุงเพียนก็ได้ยินเสียงหมาหอน แต่ไม่ใช่เป็นเสียงหมาจริงๆ หรอก แต่เป็นเสียงที่ไอ้นัยทำออกมา ไอ้นัยหอนเป็นเสียงหมา พร้อมคำรามอยู่ในคอเป็นนานสองนาน น้ำลายก็ไหลยืด และต่อมาก็คลานสี่เท้าวนเวียนอยู่ในบ้าน คนข้างๆ บ้านพอรู้ข่าวนั้นก็มาดูกันเต็มบ้าน ผู้สันทัดกรณีบอกว่า อาการพิษสุนัขบ้ากำเริบถึงที่สุดแล้ว ใครอย่าไปแตะต้องน้ำลาย หรือเข้าใกล้มัน ทุกคนเชื่อฟังคงมีแต่ป้านวลแม่ของไอ้นัยเท่านั้น ที่ร้องห่มร้องไห้เป็นลมแล้วเป็นลมอีก แกอยากจะเข้าไปช่วยลูกชายคนสุดท้องของแก แต่ผู้คนในบ้านจับแกไว้

 

เห็นไอ้นัยแสดงอาการหนักเข้าถึงกับเห่าเป็นเสียงหมา กัดแข้งขาขาตัวเองพัลวัน ลุงเพียนจึงสั่งให้ปิดประตูขังมันไว้บนบ้าน แต่พวกเราก็อดสงสัยไม่ได้ จึงไปแอบดูกันตามรูข้างฝา ข้าพเจ้ายังจำภาพอันทรมานของเพื่อนรักคนนี้ได้ติดดตา ตอนนั้นไอ้นัยคลานไปมาอยู่ในบริเวณบ้าน แล้วกัดแข้งขาตัวเอง พอจวนจะค่ำ มันก็หมดแรง นอนนิ่ง ขาแข้งไม่กระดิก เสียงก็แหบลง ได้แต่คำรามอยู่ในลำคอ ในที่สุด ตัวมันก็กระดิกไม่ได้ คงมีแต่ดังกรอดๆ อยู่ในลำคอ น้ำลายไหลยืดสองข้างปาก เป็นภาพที่ช่างทรมานอะไรเช่นนั้น ข้าพเจ้าจำภาพนั้นได้ติดตา แม้ตราบจนทุกวันนี้

 

ไอ้นัยนอนร้องครืดๆ อยู่จนกระทั่งเงียบหายไป เมื่อมีคนเปิดประตูเข้าไปดูก็พบว่ามันนอนนิ่ง ตัวแข็งทื่อ หยุดทรมาน หยุดคำรามแล้ว และวิญญาณได้ออกจากร่างมันไปแล้ว ข้าพเจ้าเสียเพื่อนรักเพื่อนซี้คนนี้ไปต่อหน้าต่อตา ถือได้ว่า เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ข้าพเจ้าได้เห็นคนเป็นโรคพิษสุนัขบ้าทรมานจนตาย ข่าวการตายของไอ้นัยเป็นที่เล่าขานกันทั้งตำบล ผู้เฒ่าผู้แก่บอกว่า นั่นเเหละเป็นเพราะกรรมที่มันชอบทรมานหมา พอเจอหมาบ้ากัดเข้าบ้างก็ต้องทรมานจนตาย

ตอนนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้คิดอะไรมาก ได้แต่เพียงเสียใจเพราะสูญเสียเพื่อนรักคนหนึ่งไป แต่มาตอนนี้กลับคิดถึงคำพูดของคนเฒ่าคนแก่ที่ว่า

กรรมตามทันไอ้นัยแล้ว เพราะมันชอบทรมานหมา มันจึงถูกพิษหมาบ้า ทรมานจนตาย”

 

ที่มาและการอ้างอิง

กรรมอุทาหรณ์ ชุด 3 ผู้เขียน ฉลอง เจยาคม