วันเสาร์, 27 กรกฎาคม 2567

เรื่องเล่า คนระลึกชาติ

ตายแล้วไปไหน มีหลายคนสงสัยอยากรู้ว่าตายแล้วไปไหน พยายามหาคำตอบในเรื่องนี้ มันก็อยู่กับว่าเราจะถามใคร ถ้าถามพระในพระพุทธศาสนาที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในพระศาสนา ท่านก็จะบอกว่าอยู่ที่จิตสุดท้ายก่อนจะสิ้นลมว่าจะไปไหน

 

 

ก่อนสิ้นลม คนสมัยก่อนเขาจึงเอาดอกไม้ธูปเทียนใส่กรวยใบตองยัดใส่มือคนใกล้ตายแล้วบอกให้ท่อง “อรหัง อรหัง อรหัง” เพื่อว่าเมื่อจิตสุดท้ายแตกดับแล้วจะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี ได้พบพระพุทธเจ้า ไม่ตกไปสู่ทุคติภูมิ ซึ่งก็ได้แก่ นิรยะ แปลว่า โลกหาความเจริญไม่ได้ ได้แก่นรก ดิรัจฉานโยนิ ซึ่งแปลว่า กำเนิดแห่งดิรัจฉาน คือ ไปเกิดเป็นสัตว์ และปิตติวิสยะ แปลว่า แดนแห่งเปรต คือพวกผี

 

พระพุทธองค์ตรัสว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏกังฺขา จิตฺเต อสงฺกิ ลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ การระลึกชาติก่อนของตัวเองได้นี้ พระพุทธศาสนารับรองว่ามีจริง มีอยู่ในอภิญญา 6 ซึ่งเรียกว่าบุพเพนิวาสานุสติ ระลึกชาติได้

 

นานหลายปีมาแล้ว ตอนที่ผมยังเป็นเด็กหนุ่มอายุราวสัก 10 กว่าปี ออกจากโรงเรียนชั้น ป. 4 มาได้ 2 ปีกว่า ผมได้ไปอยู่กับแม่ที่สวนส้มบ้านห้วยเกรียบ ที่นั่นตอนนั้นเป็นสวนส้มเขียวหวานขนาดใหญ่ มีเนื้อที่หลายร้อยไร่ ตอนแรกที่เถ้าแก่มาลงทุนบุกเบิกทำเกษตรที่นี่ ท่านได้ทดลองนำพืชหลายอย่างมาปลูก เช่น ฝ้าย มะม่วง องุ่น แต่ในที่สุดท่านก็ตัดสินใจปลูกส้มเขียวหวานอย่างเดียว ในช่วงแรกๆ ก่อนที่ส้มจะออกดอกออกผลท่านก็ท้อใจเหมือนกันเพราะลงทุนลงแรงไว้เยอะ แต่ยังไม่เห็นผลตอบแทนเลย ท่านจึงบอกขาย มีคนมาดูแล้วแต่ยังไม่ได้ตกลงซื้อขายกัน พอดีส้มของท่านเริ่มออกดอกท่านจึงตัดสินใจไม่ขาย

 

พอแน่ใจว่าการปลูกส้มเขียวหวานได้ผลดี ท่านก็ขยายพื้นที่ออกไป สิ่งที่ต้องการเพิ่มคือแรงงานซึ่งเริ่มหายากในพื้นที่ ท่านจึงไปรับคนงานจากภาคเหนือภาคอีสานมาทำงาน รับมาทีก็เต็มคันรถ อยู่กันนานบ้างไม่นานบ้าง แต่คนอีสานส่วนใหญ่พอถึงฤดูทำนาก็จะขอลากลับบ้านไปทํานา พอเสร็จหน้านาก็มาทำงานกันต่อ คนงานพวกนี้เถ้าแก่สร้างบ้านพักให้อยู่ โดยสร้างเป็นบ้านห้องแถวราว 20 กว่าห้อง หรืออาจจะมากกว่าแต่ผมจำไม่ค่อยได้แล้ว ในด้านอาหารการกินท่านเลี้ยงอาหาร 3 มื้อ แต่ถ้าใครจะหุงหากินเองก็แล้วแต่ความพอใจ คนที่พาครอบครัวมาด้วยเท่านั้นที่จะหุงหาอาหารกินกันเอง แต่ถ้าเป็นคนโสดก็จะไปกินรวมกันที่กงสี ที่ผมอยู่กับพ่อเลี้ยงชาวจีนและแม่ เพราะแม่ผมเป็นแม่ครัวประจำสวนส้มแห่งนี้

 

คนงานที่มาอยู่ก็มีบุคลิกใจคอนิสัยแตกต่างกันไป บางคนรูปร่างภายนอกเป็นชายแต่จิตใจเป็นหญิง รักสวยรักงาม แต่งตัว แต่งหน้า ทาปากไว้ผมยาวเหมือนผู้หญิง พูดจากิริยาตุ้งติ้งเหมือนผู้หญิง ผมจำได้ว่าเธอชื่อน้องใหม่ เป็นสาวเชียงใหม่รูปร่างอ้อนแอ้นบอบบาง ดูหุ่นแล้วไม่เหมาะกับงานหนักที่ต้องใช้แรงงานแบกหามที่เธอมาทำเลย เธอน่าจะไปสมัครเป็นนักแสดง หรือไม่ก็ทำมาค้าขายที่ไม่ต้องตากแดดตากฝนทำงานหนักอย่างนี้

 

อีกคนหนึ่งชื่อเขียว เป็นคนงานจากภาคอีสาน ผิวดำติดจะขี้โม้อยู่สักหน่อย เขาเป็นหนุ่มโสด ถึงรูปไม่หล่อแต่เขาคงมีวาทศิลป์ดี อยู่ไม่เท่าไหร่ก็ได้ลูกสาวคนจีนที่มีที่ดินติดกับสวนส้มมาทำเมีย แต่ทะเลาะกับเมียบ่อย เวลาทะเลาะกันก็มักลงไม้ลงมือกับเมีย คงจะเรื่องเมาหรือไม่ก็นิสัยเข้ากันไม่ได้นั่นแหละ

 

อีกคู่หนึ่งผู้ชายวัยสัก 30 กว่าๆ ผู้หญิงสัก 20 หรืออาจจะไม่ถึง ทั้งคู่อยู่บ้านหลังเดียวกัน ตอนแรกผมนึกว่าเป็นผัวเมียกัน แต่มารู้ที่หลังว่าไม่ใช่ เธอกับเขาเป็นคู่หมั้นกันยังไม่ได้แต่งงาน ทั้งคู่ไม่ใช่คนอีสานแต่เป็นชาวราชบุรี ที่นี่มีคนราชบุรีมาทำงานอยู่หลายคน เป็นชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงกับสวนส้ม มาเช้าเย็นกลับ คนพวกนี้ขยันทำงาน ไม่อู้ ไม่ขี้ขโมย ไม่เหมือนคนอื่นอีกด้านหนึ่งของสวน

 

คนพวกนั้นอู้งานเก่ง ทำๆ ไปเดี๋ยวก็หยุดกินน้ำ เดี๋ยวก็หยุดมวนยาเส้นสูบ หรือไม่ก็รูดใบกระท่อมเคี้ยวแล้วยืนคุยกัน พักเที่ยงก็โอ้เอ้อยู่นานกว่าจะเข้างาน แต่เลิกงานกลับเร็วมาก ในกล่องอาหารหรือในปิ่นโตอาหารที่พาเข้ามา ตอนกลับมาจะอัดแน่นไปด้วยผลส้มหรืออย่างอื่นที่เอาไปได้ ส่วนใหญ่แล้วเถ้าแก่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่ที่เถ้าแก่ทนไม่ได้คือทำตัวเป็นสายหรือไม่ก็หาช่องทางเข้ามาโขมยส้มในสวน

 

ปกติแล้วตอนกลางคืน จะมีการเดินกระแสไฟฟ้าไปตามรั้วลวดหนามที่ล้อมรอบสวน และพ่อเลี้ยงผมพร้อมด้วยหมาฝูงใหญ่จะออกไปตรวจดูรอบๆ สวน ในตอนกลางคืน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีร่องรอยให้เห็นว่าส้มถูกขโมยอยู่ดเสมอ ทั้งที่ส้มบางรุ่นที่ถูกขโมยไปยังไม่พ้นกำหนดของยาฆ่าแมลงที่ฉีดพ่นเอาไว้ คนที่เอาไปบริโภคหรือเอาไปขายให้คนอื่นบริโภคก็จะได้รับสารพิษตัวนี้ไปเต็มๆ

 

มีอยู่ครั้งหนึ่งผมออกเดินตรวจสวนไปกับพ่อเลี้ยง ผมเห็นร่องรอยลวดหนามมันห้อยผิดปกติ ก็เลยบอกให้พ่อเลี้ยงดู พ่อเลี้ยงเอาไม้เขี่ยๆ ดู พบว่ามันถูกงัดออกจากเสารั้ว ด้านนอกเป็นสวนมะพร้าวของชาวบ้าน ซึ่งมีหญ้าคาขึ้นรก แต่มีรอยหญ้าลู่ไปเป็นทาง ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็จะไม่เห็นรอยลู่นั้น ผมกับพ่อเลี้ยงชะเง้อคออมองออกไปนอกรั้วแต่มองไม่เห็นอะไรเพราะมีหญ้าบัง พวกเรามองหน้ากัน แล้วผมก็ถ่างเส้นลวดหนามออกแล้วก้มตัวลอดออกไป

 

ตอนกลางวันรั้วลวดหนามไม่ได้เดินกระแสไฟ แต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะบางครั้งที่กงสีจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้า ต้องติดเครื่องปั่นไฟ เช่น ชาร์จไฟหรือทำอย่างอื่น แล้วลืมยกคัทเอาท์ออก ไฟก็จะเดินไปตามรั้วลวดหนาม ผมเองโดนไฟช็อตเพราะความประมาทมาครั้งหนึ่ง แขนชาไปหลายวัน โชคดีที่ไม่ตาย เพราะทางกงสียกคัทเอาท์ลงหลังจากเครื่องปั่นไฟติดแล้ว เรามักจะพบเสมอว่ามีค้างคาวหรือนกกลางคืนติดรั้วลวดหนามตายเสมอ แต่ก็ไม่มีใครเอาไปทำกิน บางทีเครื่องตัดไฟที่คัตเอาท์ก็ดีดตัวขึ้น เพราะไฟลัดวงจร พ่อเลี้ยงผมจะเดินออกมาดู เคยพบว่าพวกชาวบ้านเอาจอบแหย่รั้วลวดหนามให้ไฟช็อตเล่นก็มี

 

“ระวังตัวนะ” พ่อเลี้ยงบอกผมเสียงเสียงเบาเหมือนกระซิบ

ผมเดินแหวกหญ้าคาไปข้างหน้า สิ่งที่เห็นหลังดงหญ้าคือกองส้มเขียวหวาน มีทั้งผลเขียวผลแดงกองสูงเป็นภูเขาเลากา ไม่น่าเชื่อว่าเพียงคืนเดียวจะเข้าไปขโมยออกมาได้มากมายขนาดนี้

“เตี่ย” ผมกวักมือเรียก

พ่อเลี้ยงผมมองไปตามแนวรั้วด้านซ้ายด้านขวาอย่างระมัดระวังก่อนจะมุดรั้วลวดหนามออกมา พอแก้ออกมาเห็นกองส้ม แกสบถด่าอย่างหัวเสีย เรากลับมากงสี  พ่อเลี้ยงให้คนงานหาบเข่งออกไปเก็บส้มกลับคืนมา ส้มพวกนั้นเป็นส้มที่ส่วนใหญ่ยังไม่ถึงเวลาเก็บมีสีเขียวยังไม่สุก มีรสเปรี้ยวเสียส่วนใหญ่เอาไปขายก็ไม่ได้ จึงบอกให้คนงานเอาไปแบ่งกัน อันไหนที่กินไม่ได้ก็เอาไปทิ้ง ตั้งแต่นั้นเถ้าแก่เลยไม่รับคนทางด้านนั้นของสวนเข้าทำงานอีกเลย พ่อเลี้ยงผมเวลาเดินตรวจสวนทางด้านนั้น ถ้าพบเห็นคนนอกรั้วก็จะมองอย่างระแวง มีอยู่ครั้งหนึ่งแกยิงปืนขู่คนที่ทำท่าเหมือนจะมุดรั้วเข้ามา แต่ไอ้หมอนั่นหัวหมอมันไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านว่าพ่อเลี้ยงผมพยายามฆ่ามัน

 

ผู้ใหญ่บ้านพร้อมกับเจ้าทุกข์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียง มาขอพบเถ้าแก่ แจ้งข้อหาพ่อเลี้ยงผมให้เถ้าแก่ทราบ เถ้าแก่พยายามไกล่เกลี่ยบอกว่าเป็นการเข้าใจผิด แค่ยิงขู่เฉยๆ แต่ทั้งผู้ใหญ่บ้านและเจ้าทุกข์ไม่ยอมท่าเดียวจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ในที่สุดเถ้าแก่รำคาญควักเงินยัดใส่มือเจ้าทุกข์ไปจำนวนหนึ่ง และขอให้เลิกแล้วต่อกัน ท่านจะกำชับดูแลไม่ให้พ่อเลี้ยงก่อเหตุแบบนี้อีก เรื่องมันก็จบลงแค่นั้น แต่คนทางด้านนั้นของสวนไม่ได้รับเข้ามาทำงานในสวนอีกเลย

 

ในบรรดาคนงานหลายสิบชีวิตที่ทำงานอยู่ในสวนส้ม มีอยู่คนหนึ่งชื่อน้าเชียร ผมจำนามสกุลแกไม่ได้แล้ว แกเป็นคนทางภาคอีสานจะเป็นคนจังหวัดไหนก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกัน แกผิวขาวรูปหล่อ พูดเพราะ แกทำงานอยู่ที่นี่นานหลายปีแล้ว รับผิดชอบงานดีจนเป็นที่ไว้วางใจของเถ้าแก่ ท่านตั้งใจให้เขาเป็นหัวหน้าคนงานแต่จะได้เงินเดือนเพิ่มพิเศษหรือไม่ผมไม่รู้

 

แกกับผมค่อนข้างสนิทสนมกันยิ่งกว่าคนงานอื่น ไม่ใช่เพราะแกต้องมาเบิกของหรือมารับงานจากพ่อเลี้ยงผมบ่อย แต่เพราะว่าแกมีศักดิ์เป็นหลานเขยของแม่ผม และอีกอย่างหนึ่งคือแกและผมติดนิยายเรื่องเพชรพระอุมาของพนมเทียนงอมแงมด้วยกัน

 

เมียแกเป็นลูกสาวของน้าแม่ผม เป็นคนสวยทีเดียว แต่ก็เหมาะกันดีระหว่างคนสวยกับคนหล่อ และมีลูก 2 คน เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่ง ลูกสาวของแกชื่ออ้อย หน้าตาน่าเอ็นดู ส่วนลูกชายผมจำชื่อไม่ได้ ช่วงวันหยุดช่วงปีใหม่ ตรุษจีน เช้งเม้ง หรือวันหยุดหรือสวนส้มหยุดงาน แกจะพาลูกเมียไปเที่ยวกรุงเทพ ถ้าเมียแกไม่ไป แกก็จะไปกับลูกสาวเพราะตอนนั้นลูกชายยังเล็กอยู่ พาไปไม่สะดวก พอกลับมาก็จะเอารูปถ่ายที่แกพาลูกไปเที่ยวมาให้ดู บางทีแกก็มีของฝากมาฝากผมเหมือนกัน เป็นพวกขนมหรือไม่ก็เป็นหนังสือการ์ตูน วันหนึ่งผมออกมาเที่ยวที่บ้านมาเชียร ก็มาเพื่อจะยืมหนังสือเพชรพระอุมาอ่านนั่นแหละ เราเลยนั่งคุยกันบนแค่หน้าบ้านของแก

“น้าไปกรุงเทพแล้วไปพักที่ไหนล่ะ” ผมถามแก

“ไปพักบ้านแม่” แกบอก

“แม่น้าเชียรอยู่กรุงเทพหรือ”

“ฮื่อ” แกบอกพร้อมกับดูดยาเส้นที่มวนด้วยใบจากไปด้วย

“ทำไมไม่พามาอยู่เสียที่นี่ล่ะ แก่มากหรือยังครับน้าเชียร”

“ตอนนี้ 10 ขวบแล้ว” แกบอกเรื่อยๆ

“10 ขวบ” ผมมองแกยังงงๆ หรือว่าผมฟังผิดไป

“10 ขวบ” แกยืนยัน

“ล้อเล่นหรือเปล่าน้า” ผมหัวเราะอย่างขบขัน

“เปล่า พูดจริง” แกยืนยันขึงขัง

ผมมองแกอย่างงๆ แกเพี้ยนอะไรขึ้นมาหรือเปล่า ผมถามตัวเองในตอนนั้น ก็ตอนนั้นแกอายุตั้ง 30 กว่าแล้ว จะมีแม่อายุ 10 ขวบได้ยังไง ถึงผมจะเป็นเด็กบ้านนอกหลังเขาแต่ ไม่โง่จนคิดไม่เป็นหรอกนะ อย่ามาหลอกกันเสียให้ยาก

“อะไรของน้าเนี่ย แม่อะไรของน้าอายุ 10 ขวบ”

“ก็แม่น้าไง ที่น้าขึ้นไปกรุงเทพก็ไปเยี่ยมแม่ของน้าที่นั่น พอหายคิดถึงก็กลับมาทำงาน เอาเงิน เอาส้มไปฝากแม่บ้าง บางทีก็เลยไปเยี่ยมพ่อที่บ้านแกบ้าง”

“พ่อน้าอายุเท่าไหร่ตอนนี้”

“ห้าสิบแปด ห้าสิบเก้าแล้ว”

 

ผมยิ่งงงหนักเข้าไปอีก พ่ออายุ 58 แม่อายุ 10 ขวบ น้าเชียรอายุ 30 กว่า ผมชักมึน ไม่ผมบ้าแกก็ต้องเมายาแหงๆ เมื่อก่อนคนงานที่ทำงานหนักมากจะเสพยาเสพติดไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง บางคนติดยาทัมใจชนิดผง บางคนติดยาแป๊บแท๊บที่บรรจุอยู่ในหลอดอลูมิเนียม ส่วนยาม้าตอนนั้นเรียกยาขยัน มีขายเป็นซองสีเขียว ที่เห็นกินกันเป็นปกติก็คือใบกระท่อม แต่บางคนก็ติดกัญชา ผมไม่รู้ว่าแกเมายาอะไรถึงได้พูดเพ้อเจ้อแบบนั้น

“อะไรของน้าน่ะ ผมไม่เข้าใจ แม่อายุ 10 ขวบแล้วจะเกิดน้าอายุ 30 กว่าได้ยังไง เรื่องพ่อน่ะ ผมเชื่อแต่เรื่องแม่นี่ผมไม่เชื่อหรอก” ผมบอกแก แกก็ยังคงดูดยาเส้นเข้าปอดลึก ปล่อยควันสีเทาออกจากปากกลุ่มใหญ่ สายตาแกเหม่อมองออกไปไกล

“คนเราถ้าไม่เสียของรักไปก็ไม่รู้ค่าของมัน ของรักที่เราเห็นอยู่ทุกวัน อยู่ใกล้ตัวจนมองไม่เห็นค่ามัน แต่พอเราสูญเสียมันไป เราถึงจะรู้ค่าของมัน ตอนนั้นแหละที่เราอยากได้มันกลับคืนมา แต่บางอย่างเมื่อสูญเสียไปแล้วก็ไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้อีก เหมือนแม่ของน้าที่ตายไป”

“ไหนว่าแม่อยู่กรุงเทพไง” ผมทักท้วง

“ก็อยู่กรุงเทพ” แกบอก

 

แกมองผมอย่างไตร่ตรองก็เหมือนจะเล่าให้ผมฟังดีหรือไม่ดี มีความลังเลอยู่บนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นแกถอนหายใจเฮือก ถ่มก้นยาเส้นที่คาบอยู่ลงบนพื้นดินข้างแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้านที่เรานั่งอยู่

“ตอนแม่ตาย น้าอายุสิบกว่าปีแล้ว แก่กว่าแกสักหน่อย แต่น้องชายน้ายังเด็กอยู่ พ่อรักแม่มาก เรารู้ว่าพ่อกับแม่รักกันมาตั้งแต่สมัยหนุ่มสาว แล้วตกลงแต่งงานกัน คนเราถ้ารักกันเมื่ออยู่ด้วยกันก็อยู่กันอย่างมีความสุข ที่บ้านน้ามีอาชีพทำนา พ่อกับน้าพ่อ กับแม่น้าเป็นคนขยัน เรามีนาของตัวเอง ทำนาของเราเอง พ่อมีวัวหลายตัว ขายข้าวได้ขายวัวได้พ่อก็ให้เงินแม่เก็บหมด เวลาจะใช้พ่อก็ขอแม่ แม่ก็รู้จักใช้เราจึงมีเงินเหลือเก็บ ที่บ้านไม่เดือดร้อนอะไร แต่แล้วแม่ก็ล้มป่วย พ่อพาแม่ไปหาหมอที่สุขศาลา (อนามัยปัจจุบัน) หมอก็ให้ยามากินแต่อาการของแม่ไม่ดีขึ้นเลย น้าจำได้ว่าปีนั้นอากาศหนาวมาก พื้นดินแห้งไปหมด น้าปากแตกเพราะความหนาว พ่อเอาขี้ผึ้งมาทาให้

พ่อเฝ้าดูแลแม่จนไม่เป็นอันทำงานทำการอะไร เป็นห่วงแม่มากกว่าสิ่งใด วัวก็ไม่ค่อยได้เอาออกจากคอกจนผอม พ่อทำอย่างอื่นเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เวลาส่วนใหญ่ของพ่อคือดูแลแม่ พ่อพาแม่ไปหาหมออีกครั้ง แล้วตอนดึกคืนนั้น แม่ก็จากพวกเราไปเงียบๆ”

 

แม่ของน้าเชียรตายไปแล้ว ผมนึกในใจ แต่ไม่ได้ขัดคออะไรตั้งใจฟังแกเล่าต่อ

“พ่อจมอยู่กับน้ำตาจนผ่ายผอม เส้นผมบนหัวเริ่มหงอกขาว ไม่มีกะใจทำอะไร งานศพของแม่ พวกญาติๆ มาช่วยกันจัดให้จนแล้วเสร็จ หลังจากแม่ตาแล้ว พ่อก็อยู่แบบซังกะตายไปวันๆ ไม่ยุ่งไม่สุงสิงกับใคร เก็บตัวเงียบอยู่กับบ้าน วันพระทีนึงถึงจะออกไปทำบุญที่วัด น้าคิดว่าถ้าไม่มีพวกเราพ่อคงเข้าวัดบวชไปแล้ว”

“เพราะพ่อหมดกำลังใจที่จะทำอะไร ทุกอย่างจึงทำไปอย่างซังกะตายให้ผ่านไปวันๆ ที่บ้านเราจึงพอมีพอกินเท่านั้น ไม่มีเหลือเก็บเหมือนเมื่อก่อนตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ พอน้ากับน้องชายเริ่มเป็นหนุ่มก็ต้องออกรับจ้างทำงานแถวบ้าน แถวนั้นก็ทำไร่ทำนา หน้าแล้งไม่มีอะไรทำก็ต้องอยู่กับบ้านเฉยๆ การอยู่กับบ้านเฉยๆ ฟังเหมือนสบาย เราไม่มีรายได้แต่เราต้องกินต้องใช้ เราจึงต้องดิ้นรนออกหางานทำที่อื่น น้ากับน้องจึงออกไปหางานก่อสร้างทำในเมือง แต่ก็กลับมาเยี่ยมพ่อเสมอเมื่อมีโอกาส บางทีก็สลับกันกับน้องมาเยี่ยมพ่อ พวกเราทำงานรายวัน จะหยุดวันไหนก็ได้เพราะหยุดเขาก็ไม่จ่ายค่าแรง”

 

ผมขยับตัวขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนแคร่แทนที่จะนั่งห้อยขาเหมือนเดิม ตั้งใจฟังน้าเชียรเล่าอย่างสนใจ

“ตอนนี้พ่อน้าเชียรอยู่กับใครล่ะ” ผมถาม

“อยู่คนเดียว” แกบอก

“ทำไมไม่รับแกมาอยู่ด้วยล่ะ”

“แกไม่มาหรอก แกห่วงบ้าน หัววัว ห่วงหมา ห่วงแมว ห่วงไก่ ห่วงทุกอย่างที่นั่น อีกอย่างแกเป็นคนที่นั่น ญาติพี่น้องแกอยู่ที่นั่นแกไม่อยากไปที่อื่น และแกคอยจะได้พบแม่ด้วย” นายเชียรพ่นควันยาเส้นสีเทาออกมาเป็นทาง

“แม่ที่ตายแล้วนะเหรอ” ผมจ้องหน้าแก

“ฮื่อ นั่นแหละ” แกรับ

“แม่น้าเชียรตายไปแล้วนี่ แล้วจะคอยพบได้ยังไงกันเล่า”

“พบซี เคยพบกันมาแล้วด้วย”

“หา! ยังไง เป็นผีมาหรือ”

“ไม่ มาเป็นๆ เลย” แกบอก

“ยังไงกัน” ผมชักงง

“สักสามสี่ปีที่แล้ว” น้าเชียรพูดออกมาในที่สุด

“ตอนนั้นน้ามาทำงานอยู่ที่นี่แล้ว แต่น้องชายน้ายังทำก่อสร้างอยู่ในตัวเมือง สงกรานต์ปีนั้นเรากลับไปเยี่ยมบ้าน ไปทำบุญให้กระดูกแม่ เราจะกลับไปทำบุญให้กระดูกแม่ทุกปี บางปีถ้ามีเงินเยอะหน่อยก็นิมนต์พระมาทำบุญที่บ้าน แต่ถ้าปีไหนมีเงินน้อยก็ไปทำบุญที่วัด”

“ปีนั้นมันแล้งจัด ร้อนมากด้วย แต่คนก็ไปทำบุญที่วัดกันค่อนข้างหนาตา ส่วนมากมีแต่คนสูงอายุ พ่อน้าก็ไปเหมือนทุกปี ไปทำบุญกรวดน้ำให้แก่แม่ ฟังเทศน์ฟังธรรมแล้วสมาทานศีลถือศีล 8 นอนอยู่วัดกับคนอื่นๆ”

“จากนี่ไปบ้านน้าเชียรใช้เวลาเดินทางกี่วันครับ” ผมถาม

“วันกว่าๆ เกือบสองวันแหละ จากนี่เข้ากรุงเทพก็วันหนึ่งแล้ว ขึ้นรถตอนเช้าไปค่ำที่กรุงเทพ ต่อรถจากกรุงเทพไปถึงจังหวัดน้าก็สว่างแล้ว”

“โห ไกลน่าดูพอได้นั่งรถนะน้า”

“ฮื่อ หลับบ้างตื่นบ้างเดี๋ยวก็ถึง แต่คนแน่นไปหน่อย ยิ่งช่วงเทศกาลด้วยแล้วแทบหาที่นั่งไม่ได้เลย” นายเชียรบอก

“พ่อน้าเชียรไปถือศีลอยู่วัดประจำเหรอ”

“ทุกวันพระ 8 ค่ำ 15 ค่ำ กลับบ้านก็เช้านั่นแหละ มาเอาวัวออกจากคอก เอาข้าวให้หมา ให้แมว ให้ไก่กิน วันนั้น พ่อกลับมาบ้านกับน้าและน้องก่อน” น้าเชียรเล่าต่อ

“ทำไมครับ” ผมถาม

“ก็มาอาบน้ำเปลี่ยนผ้า จัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็นไปวัดตอนเย็น” แกบอก

“ยังไงต่อครับ” ผมอยากรู้

“น้ากับน้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนอนคุยกันเล่นอยู่บนระเบียงบ้าน ส่วนพ่อนั่งเหลาหวายอยู่บนแคร่ใต้ถุนบ้าน”

“มีเสียงรถยนต์วิ่งมาจอดที่ถนนหน้าบ้านน้า น้ากับน้องลุกขึ้นไปชะโงกคอดู เห็นคนลงจากรถสามสี่คน เป็นคนแปลกหน้าไม่เคยเห็นมาก่อน เสียงพ่อดุหมาที่เห่าอยู่ใต้ถุนบ้าน มีเสียงถามพ่อว่า “บ้านนายชิตใช่ไหมครับ” สำเนียงคนกรุงเทพ พ่อบอกว่าใช่ แล้วไล่หมาไปที่อื่น น้ากับน้องก็ลงจากบ้านมาข้างล่าง เห็นคนพวกนั้นพากันเดินผ่านช่องประตูรั้วที่ทำด้วยไม้ไผ่เข้ามา รั้วบ้านของเราทำด้วยไม้ไผ่กลม แต่ไม่ได้ทำประตูไว้ จึงไม่ต้องเปิดปิดประตู”

“อ้าวเขามาทำไมกันครับ” ผมถามด้วยความอยากรู้

“เราก็แปลกใจเหมือนกันตอนนั้น ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่มาถามหา ไม่รู้ว่ามาดีมาร้ายอย่างไร พ่อวางมีดไว้ข้างตัวมองคนที่เดินเข้ามาอย่างสงสัย มีผู้ชายวัยกลางคนสองคน ผู้หญิงวัยกลางคนหนึ่งคน และก็ลูกสาวอายุ 7 – 8 ขวบคนหนึ่ง เด็กผู้หญิงคนนั้นเดินมาหยุด ยืนจ้องหน้าพ่อแล้วร้องไห้”

“โธ่เอ๋ยไอ้เฒ่าเอ๋ย” เด็กผู้หญิงคนนั้นพูดพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวพ่อของน้า “ดูสิ ผมหงอกขาวหมดแล้ว”

พ่อน้าจับมือเด็กผู้หญิงคนนั้นไว้ แล้วถามอย่างสงสัยว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน”

 

เด็กคนนั้นบอกว่า แกคือ บัวแม่ของน้า พ่อน้าจ้องหน้าเด็กคนนั้น “พูดเป็นเล่น” พ่อน้าพูดอย่างไม่เชื่อ เด็กยืนยันว่าเป็นบัวเมียของพ่อจริงๆ ถ้าไม่เชื่อจะพิสูจน์ให้ดู แกชี้มาที่น้าและน้องชายและเรียกชื่อได้ถูกต้อง แกบอกชื่อพ่อแม่ของพ่อและของแม่ได้ถูกต้อง รวมทั้งชื่อญาติคนอื่นๆ อีกด้วย และที่เราเถียงไม่ออกคือ แกบอกว่าก่อนตายแกเอาเงินและทองใส่ไหฝังเอาไว้จำนวนหนึ่ง จะพาไปขุดขึ้นมา

 

แกเดินนำพวกเราไปที่กอไผ่ข้างบ้าน ชี้จุดที่แกฝังไว้ให้เราขุด ตอนแรกเราขุดลงไปไม่เจออะไร แต่แกยืนยันว่ามันต้องอยู่ตรงนี้ เพราะแกฝังเอาไว้กับมือ เราจึงขุดถัดจากนั้นมาอีกปรากฏว่าพบไหที่ใส่เงินและทองฝังเอาไว้จริงๆ เราเอาไหขึ้นมาเทเงินและทองคำลงบนแคร่ใต้ถุนบ้าน

“เยอะไหมครับ” ผมถาม

“ก็หลายบาทอยู่ แต่ส่วนมากจะเป็นเหรียญมากกว่าธนบัตร พวกเรานั่งพูดคุยกันจนมืดค่ำ มีญาติกะชาวบ้านมานั่งฟังด้วยกันเป็นหมู่ ฟังไปก็หนึ่งอัศจรรย์ใจ ที่มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น แกกอดน้ากอดน้องแล้วร้องไห้ด้วยความคิดถึง”

“แม่น้ากลับมาอยู่กับพ่อน้าหรือเปล่าครับ” ผมถาม

“เปล่า พ่อจะให้ค้างคืนที่บ้าน แต่พ่อแม่ใหม่ของแม่น้าเขาบอกว่ามีธุระต้องกลับกรุงเทพ แล้วจะพาแม่น้ามาเยี่ยมอีก ให้ที่อยู่เบอร์โทรไว้ บอกว่าถ้าเข้ากรุงเทพก็ไปหาได้ “

“แล้วแม่น้ายอมกลับดีหรือครับ”

“ฮื่อ บอกว่าจะมาหาใหม่ ท่าทางเหมือนไม่ค่อยอยากกลับ”

“แล้วแกมาหาอีกไหมครับ”

“มาสิมาช่วงวันหยุดหลายๆ วัน เพราะตอนหลังแกต้องไปโรงเรียน เรียนหนังสือตามเกณฑ์ เวลาน้ามีวันหยุดก็เข้ากรุงเทพไปเยี่ยมแกเสมอ”

“น้าคิดว่าแกจะกลับไปอยู่กับพ่อน้าไหมครับ”  น้าเชียรนิ่งคิด ยกมวนยาเส้นที่คีบอยู่ขึ้นสูบ

“คงเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้แม่น้าก็มีความสุขในชาตินี้ดีอยู่แล้ว พ่อแม่ใหม่ของแม่นะเขาคงไม่ยอมหรอก เรื่องในอดีตก็คือเรื่องในอดีต แม้พ่อกับแม่มาจะเคยรักกันแค่ไหนแต่มันก็เป็นเรื่องในอดีต ที่ผ่านมาแล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่จะไปใช้ชีวิตร่วมกันอีก”

“อืม มันแปลกดีนะน้า ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ตายแล้วจะกลับชาติมาเกิดใหม่ได้ เดี๋ยวนี้คงไม่มีใครเชื่อกันแล้ว มีใครรู้เรื่องนี้บ้างไหมน้า”

“ที่นี่หรือ” น้าเชียรถาม

“ครับ”

“ก็มีแกกับแม่แกนั่นแหละ แล้วเมียน้า พ่อตาแม่ยายน้าเท่านั้น แกก็อย่าไปเล่าให้ใครฟังล่ะ เขาจะหาว่าน้าเพ้อเจ้อ”

“ครับ” ผมรับปาก

“เมื่อแกรู้แล้วว่าคนเราตายแล้วก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะสงสารอย่างนี้ โตขึ้นแกก็อย่าเที่ยวทำบาปทำกรรมอะไรให้มันเป็นเวรติดตัวไปนะ เพราะเวรกรรมมันมีจริง อย่างเรื่องที่น้าเล่าให้แกฟังนี่เป็นเรื่องจริงนะ” น้าเชียรสั่งสอน

ผมพยักหน้ารับคำอย่างหนักแน่น ผมจะเป็นคนดีผมสัญญากับแกในใจ

 

ที่มาและการอ้างอิง

กฏแห่งกรรม เรื่อง คนระลึกชาติ โดย เจตน์ จิตวัต