วันพุธ, 11 ธันวาคม 2567

เรื่องเล่า กรรมของผู้ร่วมค้ากาม ก็ต้องเป็นโรคร้ายตามเวรกรรมที่ก่อไว้

มีอยู่ระยะหนึ่งที่เรื่องการค้นพบตัวยาสมุนไพร ที่ใช้รักษาโรคเอดส์เป็นที่ฮือฮากันมาก หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับนำเสนอเรื่องนี้อยู่หลายวันติดต่อกัน โดยเฉพาะเรื่องของพระภิกษุรูปหนึ่ง ค้นพบตัวยาสมุนไพรที่อ้างว่าใช้รักษาโรคเอดส์ได้ ว่ากันว่าเป็นการค้นพบที่สร้างความตื่นเต้นและฮือฮาให้กับวงการแพทย์เป็นอย่างมาก มีการเสนอข่าวกันครึกโครม ผู้คนก็แห่กันไปที่วัดนั้นมากมาย จนตัวยาที่ว่าใช้ในการรักษานั้นได้หมดไปอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้พ่อค้าหัวใสแอบอ้างว่าตัวอย่างที่ว่านั้นที่พวกเขามีขาย ก็เอาตัวยาปลอมมาขายกันให้เกร่อ จนกระทรวงสาธารณสุขอยู่เฉยไม่ได้ต่อไป ออกมาแถลงและพิสูจน์เรื่องนี้ นำไปสู่การถกเถียงถึงคุณภาพตัวยานั้นว่า ได้ผลจริงดังอ้างอิงหรือไม่ ก็ถกเถียงกันอยู่ระยะหนึ่งทำให้หนังสือพิมพ์มีข่าวเสนอได้อย่างต่อเนื่องอีกรายวัน

 

 

ช่วงนั้นผมกำลังแย่ นอนซมรอซ่อมสุขภาพที่ใช้งานเกินพอดีมาหลายปี ญาติผู้น้องคนหนึ่งที่เป็นหมออยู่ต่างจังหวัด ถึงกับมีจดหมายเขียนมาขอร้องเชิงบังคับให้เดินทางไปขึ้นเขียงให้เขารักษาเสียที เพราะทราบกันมาตั้งแต่เขาเรียนแพทย์อยู่ว่าสุขภาพผมไม่ดีนัก แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับโรคเอดส์อะไรที่ว่านั่นหรอก มันเป็นโรคเกี่ยวกับระบบปัสสาวะ

 

อันที่จริง ช่วงนั้นที่ผมไม่ถูกขอร้องเชิงบังคับให้พักผ่อน ก็ต้องเดินทางไปดูเหตุการณ์ที่ที่ฮือฮากันอยู่ทางหน้าหนังสือพิมพ์นั้นแน่นอน เพราะว่าตอนนั้นผมสังกัดอยู่ในนิตยสารเกี่ยวกับพระหลายเล่ม และหนึ่งในจำนวนนั้น ได้เสนอบทบาทพระสงฆ์เกี่ยวกับการรักษาโรคตามแผนโบราณ ซึ่งผมได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ออกไปเสาะหาข้อมูล และสัมภาษณ์พระคุณเจ้าตามวัดต่างๆ ที่มีชื่อเสียง และมีความรู้ ความสามารถในทางรักษาโรคตามแผนโบราณ ซึ่งผมก็ได้ทำติดต่อกันมาหลายปีแล้ว และเมื่อเรื่องของพระภิกษุรูปนั้นฮือฮาขึ้นมาบนหน้าหนังสือ ทางกองบรรณาธิการได้ติดต่อให้ผมเดินทางไปติดตามความเคลื่อนไหว เพื่อจะนำเสนอผ่านหนังสือของเรา แต่ช่วงนั้น อาการแย่เอามากๆ ไม่สามารถเดินทางได้ทางกองบรรณาธิการเข้าใจและเห็นใจ แต่เรื่องงานรอสุขภาพของผมอยู่ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องส่งทีมงานคนอื่นไปแทน เรื่องของภิกษุรูปนั้นจึงได้นำเสนอในหนังสือของเราทันเหตุการณ์ที่กำลังฮอต

 

ภายหลังจากหนังสือเล่มที่เสนอเรื่องของพระภิกษุรูปนั้น ซึ่งมาทราบในภายหลังว่าชื่อ “พระอาจารย์ปรีชา วชิรญาโณ” วางแผงไปไม่กี่วันก็ได้รับโทรศัพท์จากคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ซึ่งเสียงแปลกหูที่โทรมาหาผมนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว เพราะว่าหลังจากจับงานเขียนเกี่ยวกับพระหมอรักษาโรค และได้นำเสนอไปแล้วมันจะมีคนโทรมาสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ทำนองว่า เชื่อถือได้แค่ไหน เดินทางไปได้อย่างไร ควรจะไปหาท่านช่วงไหนดี เสียงที่โทรมาในครั้งนี้เป็นผู้ชาย สันนิฐานจากน้ำเสียงว่าวัยคงยังไม่มากนักไม่น่าจะเกิน 30 ปี

 

ทันทีที่รับสาย เขาถามผมถึงเรื่องพระอาจารย์ปรีชา ซึ่งผมเองก็ให้งุนงง เพราะตอนนั้นไม่ทราบเรื่องของอาจารย์ปรีชาดีนัก ได้ทราบก็เพียงผ่านหนังสือพิมพ์ เขาคนนั้นบอกว่าเขาได้อ่านเรื่องพระอาจารย์ปรีชาจากหนังสือที่ผมสังกัดอยู่ และได้โทรเข้าไปยังสำนักงานของหนังสือนั้น คนที่สำนักงานบอกเบอร์มาให้พร้อมบอกว่า ส่วนใหญ่เรื่องนี้ทางผมจะรู้เรื่องดี โดยปกติก็เป็นเช่นนั้น แต่ในกรณีเรื่องของพระอาจารย์ปรีชานั้น ไม่ใช่ก็อย่างที่บอกแล้วผมไม่ได้จับงานนั้นด้วยตัวเอง ก็ได้บอกชายคนนั้นไปตรงๆ แต่เขาก็ถามกลับมาว่า

“เห็นคนที่สำนักงานคุณบอกว่า คุณมีข้อมูลพระหมอรักษาโรคอยู่บ้าง”

ผมจึงต่อไปตามความเป็นจริงว่า “ก็พอมี ว่าแต่คุณจะรักษาโรคอะไรล่ะ”

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเสียงเบาๆ กลับมาว่า “โรคเอดส์ครับ”

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายเงียบบ้าง เพราะตกตะลึงกับคำตอบนั้น ยอมรับว่าแม้ตัวเองจะเคยได้คุยกับผู้ที่โทรมาถามเรื่องข้อมูลและหมอรักษาโรคหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยคุยกันในเรื่องโรคเอดส์ นี่เป็นครั้งแรก

“คุณเป็นเอง หรือถามข้อมูลให้คนอื่นครับ” ผมถามออกไปอย่างที่รู้ตัวเองว่าไม่เหมาะสมนัก แต่เพื่อไม่ให้บรรยากาศการคุยขาดตอน

“ผมเป็นเอง”

ผมเงียบไปอีกที เพราะความตื่นเต้น โรคเอดส์แม้จะไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับผม ถึงตัวเองไม่เคยเป็น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องของมันเลย เรื่องภัยจากโรคร้ายนี้ผมได้รับทราบจากสื่อมวลชนอยู่เนืองๆ แต่ก็ไม่เคยได้คุยกับคนที่ป่วยเป็นโรคนี้เลย นี่เป็นครั้งแรกจึงอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้

“คุณแน่ใจหรือว่าตัวเองเป็น” ผมถามไปอย่างที่ไม่รู้จะเริ่มต่อไปอย่างไรดี

“ทางหมอเขายืนยันมาแล้ว และตอนนี้มันเริ่มแสดงอาการชัดแล้ว” 

ความรู้สึกผมเปลี่ยนไปจากตื่นเต้นมาเป็นสงสาร

“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ขอโทษนะถ้าผมถามและราบระล้วงไป คือผมตื่นเต้นจริงๆ ที่ได้คุยกับคนที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นโรคนี้” ผมบอกความรู้สึกตัวเองให้เขาทราบตามความเป็นจริง

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน ผมเคยอ่านหนังสือของคุณหลายเล่มแล้ว”

คำตอบนั้นทำให้ผมค่อยรู้สึกผ่อนคลายลงไปหน่อยหนึ่ง เพราะรู้ว่าอย่างน้อยคู่สนทนาแม้ว่าจะไม่เคยเห็นหน้าค่าตากัน แต่เขาก็เคยรู้เรื่องของผม แม้ผ่านงานเขียนก็ยังดี

“อ่านจากที่ไหนครับ”

“จากหนังสือ….” เขาเอ่ยชื่อหนังสือที่ผมสังกัดอยู่ ซึ่งเป็นแนวธรรมะ

“อ่านมานานหรือยังครับ”

“ตั้งแต่ผมเริ่มรู้ว่าตัวเองเป็นเอดส์ ผมคิดจะฆ่าตัวเอง พี่สาวกับแม่ก็ปลอบใจแล้วซื้อหนังสือธรรมะมาให้อ่าน พาไปวัดบ้าง ทำให้ผมค่อยสงบใจลงได้ และมีชีวิตต่อมาได้ถึงวันนี้”

ผมไม่แปลกใจกับคำตอบนั้น เพราะแฟนหนังสือของผมจำนวนหนึ่งจะตกอยู่ในสภาพอย่างนั้น

“ที่ผมโทรมานี้ นอกจากคุยเรื่องพระอาจารย์ปรีชาแล้ว ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณอีกหลายเรื่อง ถ้าคุณไม่รังเกียจและไม่รบกวนเวลามากเกินไป”

“อ๋อ ไม่หรอกครับ ด้วยความยินดี ผมเข้าใจและเห็นใจ หากคุณมีอะไรที่คิดว่าผมช่วยได้ก็บอกมาเถอะครับ”

 

หลังจากนั้น เราจึงได้คุยกันนานร่วมชั่วโมง โดยเริ่มจากเรื่องพระอาจารย์ปรีชา วชิรญาโณ ซึ่งผมรับปากว่า จะหาข้อมูลส่งไปให้เขาไปภายหลัง จากนั้นก็คุยกันในเรื่องทั่วๆ ไป ช่วงหนึ่งคุยถึงงานเขียนชุดรอย (กรรมกฎแห่งกรรม)ของผม ซึ่งเขาบอกว่าที่บ้านเขามีครบ เพราะพี่สาวซื้อไปให้อ่าน และเขาบอกว่า เขาเองมีเรื่องทำนองนั้นจะเล่าให้ฟังซึ่งเป็นเรื่องราวของเขาเอง และยินดีให้ผมนำไปเขียน หากเห็นว่ามีประโยชน์เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้อื่นที่กำลังทำเช่นนั้น หรือคิดจะทำ แล้วเขาก็ได้เล่าเรื่องราวของเขาให้ฟังอย่างละเอียด ซึ่งผมก็เห็นว่า เป็นเรื่องมีประโยชน์ในแง่ที่เป็นอุทาหรณ์จึงได้รวบรวมเรื่องนั้นมาเรียบเรียงใหม่ เพื่อนำมาเสนอในหนังสือกฎแห่งกรรมชุดนี้

 

คู่สนทนาของผมคนนี้ไม่ยอมเปิดเผยชื่อจริง บอกแต่เพียงชื่อเล่นแต่เพื่อให้เกียรติและสะดวกในการนำเสนอ ผมจึงจำเป็นต้องสมมุติชื่อให้เขาใหม่ว่า “ทนงค์” เพื่อจะให้สอดคล้องกับพฤติกรรมโดยรวมของเขา

 

ทนงค์ชาวกรุงเทพ โดยเกิดและเติบโตที่ย่านฝั่งธนบุรี เขาบอกว่าฐานะทางบ้านของเขาแม้จะไม่ร่ำรวยแต่ไม่เดือดร้อนนัก พ่อเป็นหัวหน้าคนงานอยู่ในโรงไม้แห่งหนึ่งย่านบางแค ส่วนแม่เป็นแม่ค้าขายของอยู่หน้าโรงไม้นั้น

 

ทนงค์มีพี่น้องทั้งหมด 4 คน เป็นผู้ชายคนเดียวเฉพาะเขา นอกนั้นเป็นผู้หญิง ส่วนพี่สาวเขาคนหนึ่ง เป็นน้องสาวอีกสอง แม้ว่าฐานะทางบ้านของทนงค์จะไม่ดีนัก แต่พ่อแม่ของเขาก็อุตส่าห์ส่งเสียให้ลูกๆ เรียนสูงทุกๆ คน และทุกคนได้รับการศึกษาอย่างดี เว้นแต่เขาคนเดียวซึ่งเหลวไหลเสียเอง แล้วเขาก็เล่าย้อนถึงต้นเหตุแห่งความเลวร้ายของตัวเองให้ฟังว่า

 

“ผมเกเรมาตั้งแต่เป็นเด็ก อาจจะเป็นเพราะผมไม่ค่อยอยู่บ้าน เพราะที่บ้านมีแต่ผู้หญิง ผมต้องออกไปเล่นกับเด็กผู้ชายนอกบ้าน ส่วนใหญ่ก็เป็นลูกหลานของคนงานในโรงไม้ เพราะว่าพ่อของเขาเป็นลูกน้องพ่อผม เด็กพวกนั้นจึงเกรงใจผมยกให้ผมเป็นหัวหน้า ตามใจผมทุกอย่าง ผมจึงได้ใจใหญ่ เป็นหัวหน้าแก๊งเด็กซนตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าโรงเรียน พอเข้าโรงเรียนผมก็ไปสร้างวีรกรรมต่างๆ ในโรงเรียนต่อ มีเด็กๆ จากโรงไม้ไปเรียนหลายคน ผมจึงได้ไปเป็นพี่ใหญ่ที่โรงเรียนอีก เกเร หนีเที่ยวกันมากกว่าเรียน

แต่ตอนเด็กผมก็ยังเรียนได้จนชั้น ป. 6 จบ ป. 6 แล้ว ก็ไปสอบเรียนเข้าเรียนมัธยมได้ ตอนนั้นเองผมเริ่มมีเพื่อนมากขึ้น และเกเรมากขึ้น หนีไปเที่ยวมากกว่าเรียน ชอบไปเที่ยวห้างโดยมีเพื่อนๆ ที่เป็นลูกคนงานโรงไม้ ซึ่งบางคนไม่ได้เรียนต่อมาเป็นเพื่อนนำเที่ยว ชวนผมไปโน่นไปนี่ ไปนั่งเล่นกันตามร้านที่มีสนุกเกอร์ ไปหัดเล่นจนเป็น

 

ครั้นเล่นสนุกเกอร์เป็นแล้ว ทนงค์เล่าว่า เขาก็ติดใจสนุกเกอร์มาก ฝึกฝนจนมีฝีมือได้ระดับ ตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนมัธยมต้น เรื่องการเรียนนั้นแทบจะไม่สนใจ แต่งตัวไปโรงเรียนจริง แต่จะไปสิงสถิตอยู่ในโรงสนุกเกอร์มากกว่า ตอนนั้นตามโต๊ะสนุกฯ ยังไม่เข้มงวดอย่างนี้ นักเรียนชายที่ชอบหนีเรียนส่วนใหญ่จะไปสิงสถิตอยู่ที่นั่น ตอนนั้น ผลการเรียนของเขาแย่มาก จนครูต้องเรียกพ่อแม่ไปพบเพื่อเตือน ซึ่งพ่อแม่เขาทราบเรื่องแล้วก็ไม่ได้ดุด่าลูกชายแต่อย่างไร ซ้ำยกความผิดทั้งหมดไปให้กับเพื่อนของเขา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลูกคนงานในโรงไม้แห่งนั้น ทั้งที่ความจริงเรื่องเหลวไหลทั้งหมดนั้น ทนงค์เป็นต้นคิดและเป็นผู้ชักนำคนอื่นเสียด้วยซ้ำ แต่พ่อแม่ก็ไม่ทราบและไม่คิดจะสนใจในเรื่องนี้ ได้แต่ตักเตือนและขอร้องให้เขาห่างจากเพื่อนๆ กลุ่มนั้นให้ขยันเรียนมากขึ้น

 

คำเตือนของพ่อแม่ไม่เป็นผล และดูเหมือนว่า จะเป็นคำพูดสูญเปล่า เพราะทนงค์ไม่นำพาต่อคำเตือนเหล่านั้น เลยซ้ำแล้วยังประพฤติในทางตรงกันข้ามกับคำเตือนหนักยิ่งขึ้น โรงเรียนแต่ก่อนได้ไปอยู่บ้าง มาช่วงหลังๆ ก็ขาดบ่อยขึ้น ซึ่งแน่นอนเวลาที่ขาดเรียนนั้นเขาจะต้องไปสิงสถิตอยู่ในโรงสนุ๊กเกอร์ จนกระทั่งครูต้องเชิญเขาออก

 

ถึงกระนั้นพ่อแม่ก็ยังไม่คิดจะโทษเขาอยู่ดี เพราะปกติพ่อแม่รักเขามาก อาจจะเนื่องจากเพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียว และเป็นลูกที่หน้าตาดีที่สุดในบรรดาพี่น้อง 4 คน เมื่อทนงค์ถูกเชิญออกจากโรงเรียนนั้น พ่อเขาก็ยกความผิดทั้งหมดให้เพื่อนๆ ของลูกชาย ตั้งข้อหาว่าที่ลูกของตนต้องเลวร้ายอย่างนั้นก็เพราะไปติดต่อสมาคมกับเด็กว่างงาน ขาดการอบรมพวกนั้น ด้วยความรักลูก พ่อของทนงค์จึงลาออกจากโรงไม้แห่งนั้น ย้ายครอบครัวออกจากบ้านพักคนงานแล้วไปสมัครงานเป็นคนงานในโรงงานแห่งหนึ่งแถวเพชรเกษม ไปเช่าบ้านอยู่ใกล้ๆ นั้น แม่ของเขาก็ได้ไปขายของในโรงงานแห่งนั้นอีก พร้อมกันนั้นก็ได้จะการให้ทนงค์ได้เข้าโรงเรียนใหม่ใกล้ๆ ที่พัก ด้วยระดับการเรียนในระดับที่แย่มากๆ ของทนงค์ จึงต้องเข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงและกิจการกำลังจะล่ม ในขณะที่พี่น้องของเขาทุกคนต่างเจริญก้าวหน้าในการเรียนทุกคน

 

แม้ว่าพ่อแม่จะเปลี่ยนงาน ครอบครัวเปลี่ยนที่อยู่ และเปลี่ยนโรงเรียนให้กับทนงค์ แต่นิสัยของเขาไม่เปลี่ยนไปแต่อย่างใด เขายังแอบติดต่อกับเพื่อนๆ กลุ่มเก่า และซ้ำมีเพื่อนใหม่คือเด็กเกเรในโรงเรียนเอกชนแห่งนั้นมาร่วมทีมอีกหลายคน คราวนี้เขาได้เป็นหัวหน้าแก๊งที่มีสมาชิกเพิ่มขึ้น และได้ยึดโรงสนุกเกอร์แห่งหนึ่งเป็นที่สิงสถิตในฐานะเซียนรุ่นเยาว์ที่รอคอยเหยื่อมาท้าพนัน

 

ความประพฤติที่ย่ำแย่ของทนงค์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากเซียนสนุ๊กเกอร์เขาเริ่มพัฒนาไปสู่ยาเสพติด จากบุหรี่แล้วพัฒนาไปยังกัญชา ที่เพื่อนๆ หามาปรนเปรอ แต่พ่อแม่ไม่ทราบเรื่องนั้นเลย เพราะมัวแต่ทำงานของตน แม้ว่าการเรียนของขนมย่ำแย่เอาการ แต่เขาก็สามารถได้ประกาศนียบัตรมัธยมต้นจากโรงเรียนเอกชนแห่งนั้น เขาทราบดีว่าประกาศนียบัตรนั้นได้มาเพราะเงินของพ่อ ไม่ใช่พ่อระดับการเรียนของเขา ได้ประกาศนีบัตรมัธยมต้นมาแล้ว พ่อแม่ซึ่งยังหวังที่จะให้ลูกชายคนเดียวเอาดีให้ได้ ก็คะยั้นคะยอให้ทนงค์เรียนต่อ โดยจะให้เข้าเรียนทางด้านวิชาชีพในวิทยาลัยอาชีวะเอกชนแห่งหนึ่งย่านนั้น ครั้งแรกทนงค์ปฏิเสธเสียงแข็ง แต่เมื่อพ่อแม่เอาสิ่งที่เขาต้องการมานานมาล่อ คือรถมอเตอร์ไซค์ โดยยื่นเงื่อนไขให้ว่า หากเขาเรียนต่อ จะซื้อมอเตอร์ไซค์ให้คันหนึ่ง ทนงค์จึงยอมเรียนแต่โดยดี

 

เมื่อได้มอเตอร์ไซค์มาแล้ว แทนที่ทนงค์จะตั้งใจเรียน เขากลับเพิ่มกิจกรรมเสี่ยงภัยให้กับชีวิตอีกอย่างหนึ่งคือการแข่งรถ ทุกคืนหลังจากที่พ่อแม่นอนหลับ เขาจะออกไปรวมกลุ่มกับพรรคพวกที่นิยมในเรื่องเสี่ยงภัยจากความเร็วเหมือนกัน ที่บนถนนจัดการแข่งรถกัน ทนงค์เหมือนกับจะมีพรสวรรค์ในเรื่องพวกนี้ เพียงไม่นานเขาจึงถูกจัดระดับเป็นแชมป์คนหนึ่งในกลุ่มนั้น

 

ที่วิทยาลัยอาชีวะเอกชนแห่งนั้นเอง ทนงค์ได้พบกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ชักนำให้เขามาพบกับชีวิตอันมืดมนในปัจจุบัน ทนงค์บอกชื่อเล่นเพื่อนคนนั้นมา แต่ผมจำเป็นต้องสมมุติให้ใหม่ว่า “แป๊ด”

 

แป๊ดเป็นรุ่นพี่ของทนงค์ ขณะที่ทนงค์เข้าไปเรียนที่วิทยาลัยนั้น ชื่อเสียงของแป๊ดโด่งดังมากในฐานะหัวหน้าแก๊งประชันความเร็ว เมื่อทนงค์ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแชมป์โค้งถนนหนึ่งเหมือนกัน เข้าไปเป็นน้องใหม่ เพื่อนๆ ก็ยุให้ไปท้าแป๊ดประชันฝีมือกัน เรื่องความหาญกล้า บ้าบิ่นเสี่ยงภัยนั้นดูเหมือนทนงค์จะมีไม่น้อยไปกว่าใคร เขาถึงกล้าไปท้าแป๊ดประชันความเร็วกัน แป๊ดก็ยินดีรับคำท้า และการประชันได้เกิดขึ้นในค่ำคืนต่อมานั้นเอง ผลการประชันออกมาว่าทนงค์เป็นฝ่ายแพ้ แต่ก็ชนะในเรื่องความกล้า แป๊ดก็เป็นฝ่ายแพ้ต่อความหาญกล้าของเขา มิตรภาพระหว่างแป๊ดกับทนงค์ได้เริ่มขึ้นในคืนนั้นเอง และด้วยอุปนิสัยที่ใกล้เคียงจึงพัฒนาไปสู่ความสนิทสนมอย่างรวดเร็ว

 

ทนงค์มาทราบในเวลาต่อมาว่า แป๊ดเป็นชาวมหาชัย เป็นลูกผู้มีอิทธิพลในย่านนั้น ครอบครัวเขาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายหลายอย่าง ที่เห็นชัดๆ คือ เปิดซ่องเถื่อน โดยเปิดบริการให้ชาวประมงแถวมหาชัย และทนงค์ได้ไปเยือนแหล่งประกอบธุรกิจเถื่อนของครอบครัวนั้นครั้งแรกเมื่อแป๊ดเชิญชวน เขาพร้อมกับเพื่อนๆ อีกจำนวนหนึ่งในวงเหล้าที่ตั้งขึ้นหลังเลิกเรียนวันหนึ่ง โดยแป๊ดเสนอว่า ยินดีให้ทุกคนใช้บริการได้ฟรีตามใจชอบ

 

ดูเหมือนว่า ทุกคนจะพอใจกับคำเชิญชวนนั้น จึงได้แห่กันไปและตั้งแต่บัดนั้นมา ด้วยความสนิทสนมที่มีต่อแป๊ดค่อนข้างมากกว่าใครในกลุ่ม ทนงค์จึงได้ไปมาหาสู่ที่นั่นบ่อยๆ จนกระทั่งเมื่อจิตจะการค้ากามของครอบครัวแป๊ดขยายเพิ่มขึ้น คือไปเปิดอีกที่ในซอยใกล้ๆ กัน แป๊ดถูกวางตัวให้ทำหน้าที่คุมสถานที่นั้น เขาได้เห็นความกล้าหาญกล้าบ้าบิ่นของทนงค์ จึงได้ชักชวนให้ไปเป็นผู้ช่วย ทนงค์โดดลงสู่กิจการค้ากามที่วางอยู่บนพื้นฐานของความเหี้ยมโหดตั้งแต่บัดนั้น ครั้งแรกก็เป็นผู้คุม ต่อมาก็ใกล้ชิดครอบครัวของแป๊ดมากขึ้น ได้ทราบว่าที่แท้ครอบครัวแป๊ดประกอบธุรกิจนั้นกว้างขวางมากขึ้น นอกจากจะมีซ่องที่นั่น 2-3 แห่งแล้ว ยังมีอีกมากในหลายท้องที่ และยังมีกิจกรรมโหดมากกว่านั้น คือ การหลอกลวงหญิงสาวจากที่ต่างๆ มาป้อนให้กับสถานบริการทำนองนั้น โดยมีการทำงานร่วมกันกับกลุ่มอิทธิพลเถื่อนหลายกลุ่ม แบบสมาคมลับ ทนงค์ได้รับความไว้วางใจจากครอบครัวของแป๊ด ให้เลื่อนจากคนคุมสถานบริการไปเป็นผู้เสาะหาหญิงสาวมาป้อนสถานบริการ อาศัยว่า ตัวเขาเป็นคนหน้าตาดี จึงได้ใช้ส่วนนั้นหลอกหญิงสาวมาตามที่ต่างๆ โดยเฉพาะสาวโรงงานและเด็กใจแตก ที่เที่ยวตามเทค ตามสถานที่ท่องเที่ยวที่ต่างๆ ทนงค์ทำหน้าที่นั้นได้ดี สร้างรายได้อันงามให้กับเขา โดยที่พ่อแม่ของเขาได้ทราบเรื่องงานและขอร้องหลายครั้ง แต่ไม่เป็นผล ทนงค์พฒนาความโหดขึ้นมาเป็นหัวหน้าควบคุม

 

เขาเล่าว่าหน้าที่เขานั้น คือ สร้างความอับอายให้กับผู้หญิงที่ถูกหลอกมา และคิดจะหนีหรือเลิกอาชีพนั้น หนึ่งในหน้าที่นั่นก็คือ จัดการข่มขืนแบบหมู่ต่อหน้าเพื่อนๆ โดยเขาจะเป็นฝ่ายเริ่มต้น และให้ลูกน้องตาม เพื่อจะให้ผู้หญิงคนนั้นหมดความหวังในการกลับตัว หรือเลิกภาคภูมิใจความสาว ความสวย และเป็นการประทับราคีให้กับหญิงสาวพวกนั้น ทนงค์ทำหน้าที่นั้นมาหลายปีจนกระทั่งเขามีอายุได้ 23 ปี

 

ในปีนั้น คืนหนึ่งหลังจากเสร็จงานแล้ว ทนงค์กับแป๊ดซึ่งยังสนิทสนมกันมาก ออกจัดการแข่งรถกันบนถนนแห่งหนึ่งในเขตจังหวัดนครปฐม งานนั้นมีนักซิ่งจากหลายที่มาร่วม ทนงค์ถูกวางตัวเป็นผู้เข้าชิงชัยคนหนึ่ง ผลการจัดการแข่งขันคืนนั้น ทนงค์ไม่ได้ชัยชนะหรอก แต่ซ้ำร้ายกลับถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เพราะอุบัติเหตุขณะแข่งขันเลือดไหลอาบร่าง บาดเจ็บปางตาย

 

แต่เจ็บกายเพียงไม่กี่วันก็หาย สิ่งที่ทำให้จิตใจเขาเลวร้ายลงอย่างทันตาเห็น คือ ผลการตรวจเลือดที่หมอตรวจพบว่าเขาเป็นเอดส์ หมอบอกเรื่องนั้นให้แม่และพี่สาวของเขาทราบก่อน คนทั้งสองค่อยๆ บอกให้ทนงค์ทราบ และอยู่คอยปลอบใจ รับตัวออกจากโรงพยาบาลมาพักอยู่ด้วยกันที่บ้าน โดยต่อห้องให้ต่างหากห้องหนึ่ง ดูแลเอาใจใส่อย่างดี

 

เมื่อทราบความจริงในเรื่องนั้น ครั้งแรกทนงค์คิดจะฆ่าตัวตายแต่พ่อแม่และพี่น้องขอร้องไว้ เพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว และเป็นที่รักของทุกคนในครอบครัว การตายของเขาจะเป็นการทำร้ายจิตใจของทุกคน เขาจึงยอมรับสภาพคนป่วยโรคเอดส์

 

หลังจากทราบผลเพียงไม่นาน ทนงค์บอกว่า อาการทรุดลงอย่างทันตาเห็น ทั้งที่หมอบอกว่า เขาเป็นมาหลายปีแล้ว ผมบอกเขาว่า เป็นธรรมดา เพราะก่อนนั้นเขาไม่ทราบ ผลของโรคทั้งหลายก็เป็นเช่นนี้ ก่อนที่จะทราบก็ไม่แสดงอาการอะไรมากมาย แต่พอทราบก็มีอาการรุนแรงขึ้น ทางพระบอกว่า เป็นเพราะอุปทาน

 

ขณะที่พ่อแม่พี่น้องจัดให้อยู่ในห้องนั้นเอง ทนงค์จึงได้อ่านงานเขียนของผม และได้ไปวัดต่างๆ ตามที่ผมเคยเขียนแนะนำไป การพูดคุยกันในวันนั้น ผมซักเขาหลายช่วง เช่น เรื่องกิจการค้ากามเถื่อนของเขาของครอบครัวแป๊ด ที่ฟังดูรู้สึกว่ายิ่งใหญ่มาก ผมไม่เข้าใจว่าทำไมมันยิ่งใหญ่ได้ขนาดนั้น ทนงค์ตอบว่า “ผมก็ไม่รู้อะไรมากนัก รู้เพียงแต่ว่าพ่อแป๊ดมีอิทธิพลมาก และทราบว่า มีข้าราชการผู้ใหญ่หลายคนร่วมทีมด้วย เพราะเวลาทางเรามีเรื่อง พ่อแป๊ดใช้อิทธิพลปิดคดีได้ทุกที”

 

และอีกคำพูดหนึ่งที่ผมประทับใจ คือ คำว่า “พ่อแป๊ดช่วยลูกน้องได้ทุกคน ทำงานให้แกแล้วไม่มีใครเดือดร้อน แต่ว่าแกห้ามกรรมให้ผมไม่ได้ โรคเอดส์ที่ผมเป็น ผมคิดว่าพวกเขาก็คงจะเป็น เพราะทั้งพ่อของแป๊ดและแป๊ดก็เคยทำหน้าที่ข่มขืนผู้หญิงมาก่อนผม และมั่วกันอยู่อย่างนั้นมานานแล้ว”

 

อย่าว่าแต่อำนาจทางการเงินของคนทรงอิทธิพลเถื่อนอย่างพ่อของแป๊ดเลย ว่ากันว่า แม้มหาเศรษฐีผู้มั่งมีทรัพย์ล้นเหลือ ก็ไม่สามารถจะใช้อำนาจหรือทรัพย์ที่มีอยู่นั้นมาหักห้ามกรรมได้ อย่างที่เราได้ทราบได้เห็นกันแล้ว ทั้งจากประวัติศาสตร์และเหตุการณ์ในปัจจุบัน

 

ที่มาและการอ้างอิง

กรรมอุทาหรณ์ ชุด 3 ผู้เขียน ฉลอง เจยาคม