วันเสาร์, 27 กรกฎาคม 2567

เกร็ดความรู้สั้น ๆ พร้อมข้อคิด : การออกกำลังกายตามกรุ๊ปเลือดให้สุขภาพแข็งแรง Ep.44

ในส่วนของการออกกำลังกายในแต่ละกรุ๊ปเลือดก็มีวิธีออกกำลังกายที่แตกต่างกันอยู่บ้าง ดังนี้

กรุ๊ป A

เป็นกลุ่มที่เหมาะจะกินมังสวิรัติล้วนๆ หรือกินเนื้อสัตว์ให้น้อยที่สุด มักเป็นคนรูปร่างผอมเล็ก โครงกระดูกและกระดูกหักง่าย จึงไม่ควรออกกำลังกายแบบหักโหม

การออกกำลังกายที่ดีที่สุดควรเป็นประเภทช้าๆ เช่น โยคะ มวยไท้เก๊ก นั่งสมาธิ นั่งเจริญภาวนา หรือแต่งสวน ซึ่งล้วนเป็นการออกกำลังกายที่ค่อนข้างผ่อนคลาย

กรุ๊ป B

เนื่องจากเป็นกลุ่มคนที่เหมาะกับการกินอาหารอย่างสมดุลมาก มีกายใจที่สมดุล มือเท้าวิ่งไวคล่องแคล่ว แต่ไม่เหมาะกับการออกกำลังกายที่หักโหม หรือแบบเชื่องช้าเกินไป

ควรทดลองการออกกำลังกายหลาย ๆ ประเภท แต่ควรทำอย่างพอเหมาะ ขอแนะนำให้ว่ายน้ำ เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ๆ ตีกอล์ฟ ตีปิงปอง ปีนเขา เก็บกวาดสวนดอกไม้

กรุ๊ป AB

เป็นกรุ๊ปเลือดสนธิระหว่างกรุ๊ปเอกับกรุ๊ปบี จึงต้องดูว่าคนกลุ่มนี้ รับประทานอาหารประจําวันค่อนข้างไปหนักไปทางผักและผลไม้เปลือกแข็ง หรือว่าโน้มเอียงไปทางเนื้อสัตว์และผลไม้เปลือกแข็งมากกว่า

ถ้าโน้มเอียงไปทางผักผลไม้เปลือกแข็ง ก็ควรออกกำลังกายแบบคนกรุ๊ป a จะดีกว่า และก็อาจเพิ่มการออกกำลังกายแบบกรุ๊ป B สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็ได้ ในทางตรงกันข้ามก็เช่นเดียวกัน

กรุ๊ป O

เป็นกลุ่มคนที่เหมาะกับการกินผักและเนื้อสัตว์จำนวนมาก ไขมันค่อนข้างสูง กล้ามเนื้อกระชับ โครงกระดูกแข็งแรง จึงเหมาะกับการออกกำลังกายประเภทหักโหม เช่น บาสเกตบอล ฟุตบอล วิ่งเร็วระยะไกล ชกมวย ยกน้ำหนักและมวยเส้าหลิน เป็นต้น

ทั้งนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนกรุ๊ปเลือดใดก็ตาม หลังการออกกำลังกายแล้ว ต้องเดินเร็ว 10 นาทีก่อนหยุดพัก เพื่อให้ระบบประสาทของร่างกายและจิตใจสมดุล โดยเฉพาะจะช่วยพัฒนาจิตวิญญาณทำให้กล้ามเนื้อและอารมณ์ที่ตึงเครียดเกินไปจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายผ่อนคลาย และสงบลง

คนทุกกรุ๊ปเลือดควรดื่มน้ำผักผลไม้ เพื่อรักษาสุขภาพ ป้องกันมะเร็ง ป้องกันโรคและชะลอความแก่ เนื่องจากน้ำผักผลไม้ มีเอนไซม์ที่สมบูรณ์ อุดมด้วยสารอาหารและอินทรีย์จากพืชสูง

จุดเด่นของน้ำผักผลไม้ 6 ข้อคือ

1.ล้างสารพิษในกระแสเลือด เช่น สารเคมีและสารแต่งสีซึ่งก่อมะเร็ง

2.เอนไซม์ในน้ำผักผลไม้ ช่วยย่อยสลายจุลินทรีย์เชื้อโรคในกระแสโลหิตได้

3.อินทรีย์สารจากพืช ทำให้เซลล์ที่กลายพันธุ์เปลี่ยนเป็นเซลล์ปกติ

4.ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้ของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

5.ซ่อมแซมระบบการรักษาตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น

6.ทำให้กระบวนการเมแทบอลิซึมเป็นไปอย่างสมดุล

7 ธรรมชาติบำบัดเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน

คือการใช้ธรรมชาติ ที่ไม่มีผลเสียต่อร่างกาย มาช่วยปรับสมดุลร่างกายของมนุษย์ เพื่อให้มีสุขภาพที่แข็งแรง โดยมีวิธีธรรมชาติมากมาย ที่ปราศจากผลเสีย และสามารถปฏิบัติให้สำเร็จได้ง่าย ๆ

1.กินอาหารบำบัด

คือการดื่มกินที่ถูกวิธี และแก้นิสัยดื่มกินที่ไม่ถูกต้อง เพื่อปรับปรุงร่างกาย เพิ่มความสมบูรณ์ของระบบภูมิคุ้มกัน และระบบรักษาตัวเอง จนทำให้ร่างกายแข็งแรงมีสุขภาพที่ดี

หมายถึงการกินผักและผลไม้ตามธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีและยาฆ่าแมลง หรือพืชผักผลไม้ที่ปลูกด้วยระบบอินทรีย์ รวมทั้งธัญพืชและน้ำสะอาดให้ร่างกายได้รับน้ำไปหล่อเลี้ยงอวัยวะ

ตลอดจนอำนวยสารอาหารที่ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบรักษาตัวเอง เพื่อต้องการทำให้ร่างกายทำหน้าที่ได้ตามปกติ ดูดซึมสารอาหารและขับพิษ ขับถ่ายสารพิษออกเสียออกไป ทำให้ร่างกายแข็งแรง

2.สารอาหารบำบัด

คือการใช้ยาเสริมอาหารตามธรรมชาติ เช่น เสริมผักผลไม้และธัญพืชอินทรีย์ ตลอดจนน้ำแร่สกัด ที่ร่างกายอาจได้รับไม่เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองรวดเร็วยิ่งขึ้น และปรับปรุงสภาพร่างกายให้แข็งแรงอีกครั้ง

ผู้ที่มีอาการไม่ค่อยสบาย เช่น รู้สึกวิงเวียน เป็นหวัดอาหารไม่ย่อย ท้องผูก ซึมเศร้า จิตใจว้าวุ่นมาก คนกลุ่มนี้ล้วนต้องการอาหารเสริมตามธรรมชาติ

3.วารีบำบัด

ใช้การอาบน้ำ ร้อนน้ำเย็นสลับกัน หรือการแช่น้ำแร่อุ่นและแช่เท้า เป็นต้น เป็นการขับสารพิษและโลหะหนักในร่างกายออกทางผิวหนัง

4.แอโรบิคบำบัด

ใช้การออกกำลังกายเดินเร็ว เดินธรรมดา โยคะ เป็นต้น เป็นการทำให้ลมปราณสมดุล ช่วยปรับการหมุนเวียนของโลหิต

5.ยาธรรมชาติบำบัด

คือการใช้พืชสัตว์และแร่ธาตุตามธรรมชาติที่มีสรรพคุณทางยา มาปรับสมดุลของอวัยวะภายใน ทำให้ร่างกายค่อย ๆ ปรับตัวดี

6.กายภาพบำบัด

หมายถึงการฝังเข็ม นวดจับเส้น กดจุดนวดฝ่าเท้า การทะลวงจุดเส้น การจัดโครงกระดูกสันหลัง การบำบัดผ่านทางระบบประสาท เพื่อให้เส้นต่าง ๆ ปลอดโปร่งไม่ติดขัด และปรับระบบการหมุนเวียนของโลหิตสลายความเจ็บปวด

7.กายใจจิตบำบัด

คือการอธิษฐานสวดมนต์เจริญภาวนา เพื่อให้จิตใจสงบบรรลุ สมดุลทั้งกายใจและจิตวิญญาณ

กระบวนการบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติ ใช้เวลายาวนานกว่าการรักษาของแพทย์แผนปัจจุบัน

แต่ผลข้างเคียงจะน้อยกว่า ซึ่งทุกแนวทางล้วนมีข้อดีข้อเสีย ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายในขณะนั้น

เช่น หากเป็นโรคที่เป็นปัจจุบันทันด่วน เช่น โรคหัวใจกำเริบและโรคลมปัจจุบันนั้น การแพทย์แผนตะวันตกแผนปัจจุบันคือการรักษาที่ดีที่สุด

เนื่องจากแพทย์แผนปัจจุบัน มีเครื่องไม้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัย สำหรับใช้ในการให้เลือดและผ่าตัด อีกทั้งยังมียาสำหรับห้ามเลือด ถ่ายเลือด และลดความดันโลหิต ที่ช่วยให้อาการทรงตัวได้ดี

แต่สำหรับโรคเรื้อรัง โรคข้อ โรคเก๊าท์ ภูมิแพ้ หอบหืด เบาหวาน ความดันโลหิตสูงและโรคซึมเศร้า ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเฉียบพลัน ก็อาจเลือกวิธีธรรมชาติบําบัด แต่ต้องใช้เวลาค่อนข้างนานเพื่อการปรับสภาพร่างกายให้ค่อย ๆ ดีขึ้น

มีแต่โรคมะเร็งเท่านั้นที่แม้จะค่อย ๆ เป็น แต่เราจะมัวรีรอไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลงนิสัยการกินดื่มโดยทันทีและเด็ดขาด ควรให้ร่างกายได้รับสารอาหารจากผักและผลไม้อย่างเต็มที่ เพื่อชะล้างพิษในกระแสเลือด

สิ่งที่ขอย้ำเป็นพิเศษคือ “ยา” มีผลเพียงควบคุมอาการผู้ป่วยเท่านั้น หากคิดจะฟื้นฟูสุขภาพ ก็มีอยู่วิธีเดียวคือ เปลี่ยนแปลงนิสัยการกินการดื่ม และการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งจะเป็นวิธีรักษาที่ดีที่สุด สุขภาพร่างกายจะแข็งแรงหรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับอาหารการกิน ว่าเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ

ที่มาและการอ้างอิง

100 คำถามเจาะลึกเพื่อสุขภาพ โดย Dr.Tom Wu

เรื่องที่เกี่ยวข้อง